สวัสดีครับ เนื่องจากผมมีแผนจะเดินทางไปเที่ยวประเทศจีน ซึ่งการไปเที่ยวที่ประเทศนี้นั้นจะต้องมีการขอ Visa ด้วย และหลังจากที่ผมได้ลองงมโข่งหาข้อมูลด้วยตัวเองอยู่เป็นเวลานานนั้นก็พบว่าการขอ Visa ของที่นี่นั้นแอบยุ่งยากและจุกจิกในเรื่องของเอกสารอยู่พอควร ดังนั้นวันนี้ผมก็เลยจะมาทำบทสรุปสั้นๆ เกี่ยวกับการขอ Visa ประเทศจีน ฉบับ update เดือน มิถุนายน พ.ศ. 2560 (June 2017) เพื่อให้ทุกคนได้อ่านเป็นข้อมูลก่อนที่จะไปทำการยื่นขอด้วยตัวเองครับ


สถานที่ยื่นขอ Visa จีน

อันดับแรก เราไปดูเรื่องสถานที่ในการขอ Visa กันก่อนดีกว่า โดยปัจจุบันนี้การยื่นขอ Visa เพื่อเข้าประเทศจีนในเขตกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงนั้น จะสามารถทำการยื่นขอได้เพียงที่เดียวเท่านั้นก็คือที่ “ศูนย์บริการยื่นขอวีซ่าประเทศจีน (Chinese Visa Application Service Center)” อาคารธนภูมิ ชั้น 5 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงมักกะสัน โดยอาคารนี้จะอยู่ใกล้ๆ กับตึกของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ซึ่งถ้าเราเดินทางโดยรถ MRT ก็ให้เราลงที่สถานีเพชรบุรี จากนั้นก็ให้มองตึก ททท. ไว้ (โลโก้เค้าจะเห็นเด่นชัดมาก) แล้วก็เดินตามทางไปเรื่อยๆ ประมาณ 6-700 เมตร เมื่อเราถึงตึก ททท. ก็ให้เดินต่อไปตามทางอีกประมาณ 50 เมตรก็จะเจออาคารธนภูมิครับ

สำหรับท่านที่นั่งรถ MRT มา แต่ไม่อยากเดินก็สามารถนั่งวินมอเตอร์ไซด์ได้นะครับ ค่าพี่วินจากสถานี MRT เพชรบุรีไปยังอาคารธนภูมิน่าจะประมาณ 15 บาทได้ ส่วนท่านที่ขับรถไปเองก็ไม่ต้องกังวลเรื่องที่จอดไปเพราะที่อาคารเค้ามีที่จอดรถอยู่พอควรเลย

หมายเหตุ : สำหรับผู้ที่ต้องการขอ Visa ประเภทพิเศษ เช่น เป็นบุคคลที่ถือหนังสือเดินทางทางการทูต, บุคคลที่ถือหนังสือเดินทางราชการ, บุคคลที่ถือหนังสือเดินทางประเทศจีนนั้น สามารถไปยื่นคำขอวีซ่าได้ที่แผนกวีซ่า สถานทูตจีน อาคาร เอเอ ชั้น 2 ถนนรัชดาภิเษก ซอย 3 ครับ

หน้าตาอาคารธนภูมิจะเป็นแบบนี้นะครับ ที่ตัวอาคารและบริเวณด้านหน้าจะมีป้ายบอกอย่างชัดเจนครับ

หลังจากที่เรามาถึงหน้าอาคารแล้วก็ให้เราเดินเข้าไปข้างในแล้วกดลิฟท์ขึ้นไปที่ชั้น 5 ได้เลย (ไม่ต้องทำการแลกบัตรอะไรนะครับ) และเมื่อเราถึงชั้น 5 แล้วก็จะเจอกับ “ศูนย์บริการยื่นขอวีซ่าประเทศจีน” ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่มาคอยสอบถามว่าเรามาทำอะไร ระหว่างการยื่นขอ Visa, รับ Visa, ยื่นด่วน หรือธรรมดา และมาในนามบุคคลหรือกรุ๊ปทัวร์ เราก็ตอบเค้าไปตามตรงแล้วเดี๋ยวเจ้าหน้าที่จะแจ้งว่าเราต้องไปยืนต่อคิวที่แถวไหนครับโดยเวลาในการทำงานของศูนย์ฯ วีซ่าจีนก็ตามนี้เลยครับ

เวลาทำการ : จันทร์-ศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ และวันหยุดพิเศษของศูนย์ฯ วีซ่าจีน ซึ่งเราสามารถดูข้อมูลวันหยุดเหล่านี้ได้ใน website https://www.visaforchina.org/BKK_TH/index.shtml)

เวลารับยื่นเอกสารทำวีซ่า : 9.00-15.00 น. (กรณีวีซ่าเร่งด่วน และด่วนพิเศษต้องยื่นคำร้องและเอกสาร ให้แล้วเสร็จภายในเวลา 11.00 น.)

เวลาการจ่ายชำระเงินและรับเอกสารคืน : 9.00-16.00 น.


เอกสารที่ต้องใช้ในการยื่นขอ Visa จีน

เอาล่ะครับ ตอนนี้เราก็รู้แล้วว่าสถานที่ในการยื่นขอวีซ่าจีนนั้นอยู่ที่ไหน ทีนี้เราไปดูเรื่องเอกสารที่เราต้องใช้ดีกว่า เราจะได้เตรียมไปให้ครบๆ และถูกต้อง ชนิดที่ยื่นทีเดียวแล้วผ่านเลย โดยเอกสารที่เราต้องใช้ในการยื่นขอวีซ่าจีนก็มีตามนี้เลยครับ

1. แบบฟอร์มคำร้องขอวีซ่า (Application Form) โดยเราสามารถไปขอที่ศูนย์ฯ วีซ่าจีนได้เลย หรือไม่ก็ Download ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.visaforchina.org/BKK_TH/generalinformation/downloads/278317.shtml ซึ่งข้อดีของการ Downdoad และปริ้นท์เอกสารเองก็คือเราจะสามารถกรอกเอกสารต่างๆ ให้เรียบร้อยไปจากบ้านได้เลย ไม่ต้องไปเสียเวลากรอกที่ศูนย์ฯ วีซ่าจีนอีกครับ

2. หนังสือเดินทาง (Passport) พร้อมสำเนาและเซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง โดย Passport เล่มนั้นจะต้องมีอายุไม่น้อยกว่า 6 เดือนนับจากวันเดินทาง และต้องมีหน้าว่างอย่างน้อย 2 หน้า (ทั้งนี้สำหรับผู้ที่เคยได้รับ Visa เข้าประเทศจีนมาแล้วต้องสำเนาหน้า Visa ที่เคยได้รับล่าสุดพร้อมเซ็นรับรองสำเนาถูกต้องเตรียมไปด้วย โดยหาก visa ดังกล่าวอยู่ใน Passport เล่มเก่า ต้องแนบสำเนาหน้า Passport เล่มเก่าไปด้วยครับ)

3. ใบจองตั๋วเครื่องบิน

4. ใบจองที่พัก / โรงแรม หรืออย่างกรณีผมที่เดินทางไปที่เซี่ยงไฮ้เพื่อไปนั่งเรือสำราญต่อไปยังประเทศญี่ปุ่นก็ต้องเตรียมเอกสารในการจองเรือสำราญพร้อมแผนการเดินทางไปด้วย (สำหรับใครที่ยื่นขอ Visa แบบ Multiple คือเข้าออก 2 ครั้ง ภายในระยะเวลา 6 เดือนนั้น ต้องเตรียมเอกสารของทั้ง 2 ทริปไปแสดงให้ครบนะครับ)

5. หนังสือเชิญจากบริษัทหรือหน่วยงานที่ประเทศจีน พร้อมลายเซ็นและตราประทับ สำหรับเจ้าของธุรกิจให้นำใบจดทะเบียนการค้ามาด้วย (เฉพาะวีซ่าธุรกิจ)

6. หนังสือรับรองการทำงานที่ระบุวัตถุประสงค์ในการเดินทาง (เฉพาะวีซ่าธุรกิจ)

7. รูปสี พื้นหลังสีขาว ไม่มีขอบ และถ่ายไว้ไม่เกิน 6 เดือน จำนวน 2 ใบ โดยต้องมีขนาดรูป 48 x 33 มม. มีความกว้างส่วนศีรษะ 15 – 22 มม., ความสูงส่วนศีรษะ 28 – 33 มม. หน้าตรง เปิดหู ไม่หลับตา และพิมพ์ลงบนกระดาษสำหรับรูปถ่ายเท่านั้น

8. เด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี กรณีที่เดินทางกับพ่อและแม่ ต้องมีเอกสารเพิ่มเติมตามนี้

8.1 สำเนาสูติบัตร (เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ต้องยื่นสูติบัตรตัวจริงด้วย) เขียนชื่อภาษาอังกฤษต่อท้ายชื่อ พ่อ, แม่, ลูก

8.2 สำเนาบัตรประชาชน (เด็ก)

8.3 สำเนาทะเบียนบ้าน (เด็ก)

8.4 ใบเปลี่ยนชื่อ นามสกุล (ถ้ามี)

ส่วนเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี กรณีที่เดินทางกับพ่อหรือแม่ (คนใดคนหนึ่ง) นอกจากเอกสารข้างต้นแล้วต้องเพิ่มเอกสารตามนี้

8.5 สำเนาทะเบียนบ้านของพ่อและแม่

8.6 หนังสือยินยอมให้บุตรเดินทางไปต่างประเทศกับพ่อหรือแม่ฝ่ายหนึ่ง โดยต้องเป็นหนังสือที่ออกโดยหน่วยงานราชการเท่านั้น

และเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี กรณีที่ไม่ได้เดินทางกับพ่อหรือแม่เลย นอกจากเอกสารข้างต้นแล้วต้องเพิ่มเอกสารตามนี้

8.7 หนังสือยินยอมให้บุตรเดินทางไปต่างประเทศกับผู้อื่น โดยต้องระบุความสัมพันธ์ และต้องเป็นหนังสือที่ออกโดย หน่วยงานราชการเท่านั้น

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วหลายๆ คนอาจจะเริ่มปวดหัวและตาลายกันแล้วใช่มั้ยล่ะครับ แต่อย่าพึ่งตกใจไป เพราะถ้าเราอ่านรายละเอียดข้างต้นดีๆ จะพบว่าหากเราต้องการไปเที่ยวที่ประเทศจีนและเรามีอายุเกินกว่า 18 ปีแล้ว เอกสารที่จะต้องใช้ยื่นก็มีแค่ข้อ 1-4 และข้อ 7 เท่านั้นซึ่งไม่ยากและไม่เยอะเลยครับ ส่วนใครที่เป็น Freelance หรือทำอาชีพอิสระแบบผมอาจจะต้องเพิ่มเอกสารอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือจดหมายรับรองว่าเราจะเข้าไปที่ประเทศจีนเพื่อท่องเที่ยวเท่านั้น โดยทางศูนย์ฯ วีซ่าจีน เค้าจะมีตัวอย่างข้อความให้เราลอก ซึ่งเราจะเขียนข้อความเหล่านั้นลงในกระดาษหรือจะพิมพ์แล้วเซ็นชื่อกำกับตอนท้ายก็ได้ครับ

เอาล่ะครับ ตอนนี้เราก็ทราบเรื่องเอกสารที่ต้องใช้ในการยื่นขอ Visa กันไปเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ผมจะขออนุญาตเจาะถึงเอกสาร 2 อย่างที่คนไปยื่นขอวีซ่าจีนส่วนใหญ่มักจะงงหรือพลาดกันนั่นก็คือ แบบฟอร์มคำร้องขอวีซ่า (Application Form) และเรื่องรูปถ่าย โดยจุดที่เราควรต้องระวังในแต่ละเรื่องก็มีหลายประเด็นเลยครับ


ข้อควรระวังเกี่ยวกับแบบฟอร์มคำร้องขอวีซ่า

  • Version ของแบบฟอร์มต้องเป็น Version ล่าสุดเท่านั้น โดยเราสามารถเข้าไป Download ได้ที่ https://www.visaforchina.org/BKK_TH/generalinformation/downloads/shtml สำหรับ version ที่ผมไปยื่นขอนั้นจะเป็นของ version 2013 ครับ
  • การกรอกเอกสารต้องกรอกด้วยภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่เท่านั้น
  • กรณีที่เราเป็นผู้กรอกและยื่นเอกสารเอง ให้เราทำการกรอกเอกสารและเซ็นชื่อถึงแค่ Part 4 เท่านั้น
  • กรณีที่เราเป็นผู้กรอกและยื่นเอกสารให้กับผู้อื่น เราต้องทำการกรอกเอกสารและเซ็นชื่อใน Part 5 ด้วย
  • กรณีที่ผู้ต้องการขอวีซ่าเป็นผู้กรอกเอกสารเองแต่ฝากให้คนอื่นไปยื่นเอกสารแทน ต้องให้เจ้าตัวกรอกเอกสารและเซ็นชื่อถึงแค่ Part 4 เท่านั้น จากนั้นให้แนบใบมอบฉันทะที่มีการระบุชื่อว่าใครจะเป็นผู้ยื่นขอวีซ่าแทน พร้อมทั้งสำเนาบัตรประชาชนของผู้ที่ยื่นเอกสารแทนด้วย

สำหรับใบมอบฉันทะในการขอวีซ่านั้นสามารถใช้รูปแบบตามภาพด้านล่างได้เลยครับ

หมายเหตุ : ขอขอบคุณภาพประกอบใบมอบฉันทะจากลิงก์นี้ครับ https://pantip.com/topic/36244353

ข้อควรระวังเกี่ยวกับเรื่องรูปถ่าย

เอาล่ะ คราวนี้เราไปดูเรื่องรูปถ่ายซึ่งเป็นอีกเรื่องที่เป็นปัญหาใหญ่ของการขอวีซ่าจีนกันดีกว่า โดยทางศูนย์ฯ วีซ่าจีนนั้นเข้มงวดในเรื่องนี้มาก และมีการระบุไว้อย่างชัดเจนว่ารูปถ่ายที่จะสามารถใช้ในการยื่นขอวีซ่าจีนได้จะต้องอยู่ในเงื่อนไขดังต่อไปนี้

  • รูปสี พื้นหลังสีขาว ไม่มีขอบ และถ่ายไว้ไม่เกิน 6 เดือน (จำนวน 2 รูป)
  • ห้ามใส่เสื้อสีขาว เพราะสีเสื้อจะกลืนกับพื้นหลัง ควรใส่เสื้อสีที่ตัดกับพื้นหลังอย่างชัดเจน
  • หน้าตรง เปิดหู ไม่หลับตา ไม่ยิ้มเห็นฟัน และต้องเห็นหน้าผากกับคิ้วอย่างชัดเจน
  • ห้ามใส่ต่างหู ห้ามใส่สร้อยคอ
  • ขนาดรูป 48 x 33 มม. มีความกว้างส่วนศีรษะ 15 – 22 มม., ความสูงส่วนศีรษะ 28 – 33 มม.
  • พิมพ์ลงบนกระดาษสำหรับรูปถ่ายเท่านั้น

หมายเหตุ : ด้วยความที่เรื่องรูปเป็นปัญหาใหญ่ของการขอวีซ่าจีนมาก ดังนั้นล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายน 2561 ทางศูนย์บริการยื่นขอวีซ่าประเทศจีน จึงได้มีการตั้งจุดบริการถ่ายรูปภายในศูนย์ฯ เลย และมีค่าบริการอยู่ที่ 150 บาท/โหล ใครที่มีปัญหาเรื่องรูปถ่ายก็สามารถไปถ่ายใหม่ที่นั่นได้ครับ รับรองถูกระเบียบเป๊ะ

เป็นอย่างไรล่ะครับกับเอกสาร 2 อย่างที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวที่สุดในการยื่นขอวีซ่าจีน และก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้หลายๆ คนไปยื่นขอครั้งเดียวไม่ผ่าน ต้องกลับไปใหม่อีกรอบ ดังนั้นผมก็เลยอยากให้ทุกคนอ่านและเตรียมตัวไปให้ดีๆ โดยหากเรามีการเตรียมตัวไปอย่างดีแล้ว รับรองว่าจะใช้เวลาในการยื่นขอแค่แป๊บเดียวเท่านั้นครับ ซึ่งกระบวนการยื่นขอก็มีง่ายๆ ตามนี้ครับ

  1. ต่อคิวที่เคาน์เตอร์บริเวณประตูด้านหน้าตามที่เจ้าหน้าที่ได้แจ้งเรา เพื่อตรวจเอกสารต่างๆ โดยจุดนี้เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจว่าเอกสารที่เรานำไปยื่นนั้นครบถ้วนและถูกต้องหรือไม่ สำหรับเอกสารที่ทางศูนย์ฯ วีซ่าจีนไม่ใช้ก็จะทำการดึงออกแล้วคืนให้เรา ส่วนถ้าใครเอกสารไม่ครบ ไม่ถูกต้อง ทางเจ้าหน้าที่ก็จะแจ้งให้กลับไปเตรียมมาใหม่ครับ
  2. เมื่อตรวจเอกสารเรียบร้อย เจ้าหน้าที่จะกดบัตรคิวให้พร้อมกับยื่นชุดเอกสารที่ครบถ้วนคืน จากนั้นเราก็เดินไปนั่งรอด้านใน เพื่อรอการเรียกคิวตามหมายเลขบัตรคิวที่ได้
  3. เมื่อถึงคิว ก็ให้เราเดินไปที่ช่องที่เค้าระบุ จากนั้นก็ยื่นเอกสารให้กับเจ้าหน้าที่ โดยเค้าจะมีการตรวจสอบเอกสารอีกรอบและสอบถามข้อมูลต่างๆ ของเราเพิ่มเติม เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจเอกสารเรียบร้อยแล้วก็จะปริ้นใบนัดรับวีซ่ามาให้ โดยการยื่นขอวีซ่าแบบปกตินั้นจะใช้เวลา 4 วันทำการ, แบบเร่งด่วน 2 วันทำการ และแบบเร่งด่วนพิเศษ 1 วันทำการ ซึ่งการยื่นขอแบบเร่งด่วนและเร่งด่วนพิเศษนั้นจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า โดยที่เราสามารถสอบถามเรื่องค่าใช้จ่ายจากเจ้าหน้าที่ได้เลยครับ
  4. กลับบ้านและรอลุ้นว่าวีซ่าจะผ่านหรือเปล่า
  5. เมื่อถึงวันนัดวีซ่าตามที่ระบุไว้ในเอกสาร ก็ให้เรากลับไปที่ศูนย์ฯ วีซ่า และกดรับบัตรคิว ซึ่งหากไม่มีอะไรผิดพลาดเราก็จะได้รับวีซ่าตามที่ยื่นขอไว้ จากนั้นก็ให้เราชำระค่าวีซ่าและนำเล่ม Passport กลับบ้านได้ครับ

สำหรับค่าใช้จ่ายในการขอวีซ่าจีนนั้นจะมีหลากหลายราคามาก ตามแต่ว่าเราจะยื่นขอแบบปกติ, ด่วน, ด่วนพิเศษ และยื่นวีซ่าแบบไหน เข้าออกแค่ครั้งเดียวหรือหลายครั้ง โดยสำหรับแบบที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยื่นขอนั้นจะเป็นการขอ Visa แบบท่องเที่ยว เข้าออกครั้งเดียว และยื่นแบบปกติ (ใช้เวลา 4 วันทำการ) จะมีค่าใช้จ่าย 1,500 บาท/คน ส่วนผมกับภรรยานั้นเรายื่นขอแบบ Visa Transit เข้าออก 2 ครั้ง มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 2,500 บาท/คน ครับ

และก่อนจะจบบทความนี้ ผมอยากจะขอแนะนำอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขอวีซ่าจีนอีกนิดตามนี้นะครับ

  1. เนื่องจากว่าการยื่นขอวีซ่าจีนนั้น สามารถให้คนอื่นไปยื่นขอแทนได้โดยการแนบใบมอบฉันทะไปเพิ่ม ดังนั้นก็เลยมีบริษัทที่รับยื่นขอวีซ่าจีนแทนอยู่เยอะพอควร ใครที่ไม่สะดวกเดินทางไปเองก็สามารถจ้างเค้าได้ครับ แต่ก็แน่นอนว่ามันต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมาอีกพอควรเลย
  2. เราสามารถกรอกแบบฟอร์มคำร้องขอวีซ่า รวมทั้งนัดหมายล่วงหน้าและตรวจสถานะของการขอ visa ได้ที่ลิงก์นี้นะครับ https://www.visaforchina.org/BKK_TH/howtogetavisa/quickaccess/index.shtml แต่ทั้งนี้หลังจากกรอกแบบฟอร์มและนัดหมายออนไลน์ล่วงหน้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว พอถึงวันที่เรานัดหมายไว้ เราก็ต้องเดินทางไปยื่นเอกสารด้วยตัวเองอยู่ดีนะครับ แต่ก็จะใช้เวลาในการดำเนินการในวันดังกล่าวน้อยกว่าคนอื่นๆ ที่ walk in ไปครับ
  3. ระยะเวลาที่เหมาะสมในการยื่นขอ Visa จีน ในความคิดผมคือประมาณ 30-45 วัน ก่อนที่เราจะเดินทางครับ
  4. สำหรับคนที่ไปยื่นเอกสารเองแล้วพบปัญหาเรื่องเอกสารไม่ครบ ไม่ถูกต้อง แต่ไม่อยากจะเดินทางไปยื่นใหม่อีกรอบ ผมแนะนำให้ไปที่ชั้น 2 ของอาคาร เค้าจะมีร้านที่รับถ่ายเอกสาร, พิมพ์งาน จนไปถึงถ่ายรูปอยู่ครับ ถึงแม้ราคาอาจจะสูงไปนิดนึงแต่ก็อาจจะดีกว่าการที่เราต้องเสียเวลาเดินทางไปมา โดยอัตราค่าบริการที่ผมไปใช้มาก็ตามนี้เลยครับ
  • ถ่ายรูปพร้อมปริ้นท์ลงกระดาษอัดรูป ราคา 150 บาท/โหล
  • ถ่ายเอกสาร 3 บาท/แผ่น
  • ปริ้นท์เอกสาร 15 บาท/แผ่น

ก็จบลงแล้วสำหรับบทความการยื่นขอวีซ่าจีน ฉบับ Update June 2017 หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนนะครับ และสำหรับใครที่มีแผนจะไปเที่ยวเมืองเซี่ยงไฮ้ประเทศจีน โดยเฉพาะที่ Shanghai Disneyland ก็สามารถอ่านรีวิวของ 2 ที่นี้ตามที่ผมได้เขียนไว้ในลิงก์ด้านล่างนี้ได้เลยครับ

ขอบคุณทุกท่านมากๆ ที่ติดตามอ่านจนจบ หากใครที่ชื่นชอบบทความของผมและต้องการติดตามเรื่องราวการรีวิวต่างๆ ที่รวดเร็วทันใจ ก็สามารถกดติดตามได้ที่เพจ ภรรยาหา สามีใช้ ได้เลยครับ ส่วนท่านใดที่ต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการขอวีซ่าจีนเพิ่มเติมก็สามารถติดต่อศูนย์ฯ วีซ่าจีนได้ตามรายละเอียดด้านล่างนี้เลยครับ

ศูนย์บริการยื่นขอวีซ่าประเทศจีน
1550 อาคารธนภูมิ ชั้น 5 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กทม. 10400 โทร 02-207-5888, 02-207-5999

Website : www.visaforchina.org

Thai Website : https://www.visaforchina.org/BKK_TH/index.shtml