สวัสดีครับ วันนี้ผมจะพาทุกท่านไปพบกับการรีวิวอาหารที่ไม่ค่อยมีใครรีวิวนัก ด้วย 2-3 เหตุผลหลัก นั่นคือ หาทานได้ยาก, ไม่กล้าลอง และราคาที่แอบสูงเล็กน้อย และอาหารที่ว่านั่นก็คือบุฟเฟต์อาหารอินเดียนั่นเองครับ!!
ผมเชื่อว่าหลายๆ ท่านน่าจะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีห้องอาหารที่เปิดบริการอาหารอินเดียแบบบุฟเฟ่ต์อยู่ใน กทม. ด้วย ซึ่งต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นเหมือนกัน จนกระทั่งเมื่อปลายปีที่แล้วผมได้มีโอกาสไปใช้บริการห้องอาหารเม็กซิกันของโรงแรมแห่งนี้ จึงรู้มาว่านอกจากห้องอาหารเม็กซิกันแล้ว ที่โรงแรมแห่งนี้ยังมีห้องอาหารอินเดียบริการด้วยครับ โดยท่านใดที่สนใจอยากจะอ่านรีวิวของห้องอาหารเม็กซิกันสามารถคลิกที่นี่ได้เลยครับ
Disclosure : บทความนี้เป็นบทความที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการใดๆ ทั้งสิ้น
สำหรับห้องอาหารอินเดียแห่งนี้มีชื่อว่า Rang Mahal ครับ อยู่บนชั้น 26 ของโรงแรมแรมแบรนท์ ซอยสุขุมวิท 18 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดของโรงแรมแห่งนี้เลยครับ ผมคิดว่าถ้ามาช่วงเย็นๆ บรรยากาศน่าจะดีและสวยมากครับ แต่ว่าเนื่องจากห้องอาหารแห่งนี้จะเปิดบริการแบบบุฟเฟต์แค่ตอนกลางวันของวันอาทิตย์เท่านั้น ทำให้ผมอดชมวิวสวยๆ เหมือนที่เห็นในโปสเตอร์ของทางห้องอาหารครับ (สำหรับวันอื่นๆ ช่วงเวลาอื่นๆ ห้องอาหารแบบนี้จะเปิดบริการเป็นแบบ a la carte ครับ)
เอาล่ะครับ ถ้าพร้อมแล้ว ก็เข้าสู่การรีวิวกันเลยครับ
วันที่รับประทาน : วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม 2558
ช่วงเวลา : 11.00-14.30 น. (เวลาที่ห้องอาหารเปิดบริการคือ 11.00-14.30 น.)
จำนวนคน : 2 คน
ราคา : 850++ ต่อท่าน (เมื่อรวม Service Charges 10% และ Vat 7% แล้วจะราคา 1,000.45 บาท/ท่าน)
ผมขอเปิดด้วยภาพโฆษณาของห้องอาหารนี้แล้วกันนะครับ เป็นภาพวิวตอนเย็นครับ เสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้เห็นจริงๆ เพราะไปกินตอนกลางวันแดดมันค่อนข้างร้อนและวิวไม่สวยแบบในรูปนี้เลยครับ
หมายเหตุ : เนื่องจากผมลองค้นหาข้อมูลการรีวิวของที่นี้แล้วพบว่ามีการพูดถึงหรือเขียนถึงน้อยมาก รีวิวนี้ผมเลยตั้งใจจะเล่าให้เห็นภาพรวมของห้องอาหารนี้ทั้งหมดนะครับว่าหน้าตาเป็นอย่างไร แบ่งออกเป็นโซนอย่างไร หน้าตาอาหารเป็นอย่างไร เพื่อที่คนที่สนใจจะได้เห็นภาพมากที่สุด ส่วนเรื่องของรสขาติผมจะไม่ได้แตะมากนะครับ เพราะผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร รวมทั้งนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้กินอาหารอินเดียด้วย ผมเลยไม่แน่ใจว่าอย่างไหนที่เรียกว่าดีหรืออร่อย แต่ก็จะพยายามจะแทรกลงไปเป็นระยะๆ นะครับ
เริ่มแรกเลยเมื่อเรามาถึงที่โรงแรมแห่งนี้ ก็ให้เราก็เดินไปทีลิฟท์และขึ้นไปที่ชั้น 26 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดเลยครับ เมื่อลิฟต์เปิดออกมาก็จะเจอชื่อชั้นและชื่อห้องอาหารเขียนไว้อย่างชัดเจน
เมื่อออกจากลิฟท์แล้วก็จะเห็นประตูทางเข้าห้องอาหารชัดเจนและใกล้มากครับ ภาพนี้เป็นเมนูที่อยู่หน้าห้องอาหารครับ
เมื่อมองผ่านประตูไปสิ่งที่เห็นจะยังไม่ใช่ห้องอาหาร หรือไลน์อาหารนะครับ แต่จะเป็นจุดที่พนักงานต้อนรับยืนประจำอยู่ครับ พนักงานที่นี่แต่งชุดเข้ากับธีมของห้องอาหารมากครับ
ถ้าเราหันหลังกลับมาก็จะเจอวิวแบบนี้ครับ มีเก้าอี้บริการสองตัวเผื่อใครมาเร็วแล้วห้องอาหารยังไม่เปิดบริการครับ
ตรงข้ามจุดที่พนักงานต้อนรับยืนรออยู่จะมีป้ายรางวัลต่างๆ ที่ห้องอาหารแห่งนี้ได้รับรางวัลมาครับ ต้องบอกว่าเยอะมาก เต็มผนังเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความมั่นใจให้คนมากินหรือสนใจมากินได้เป็นอย่างดีเลยว่า มันต้องเด็ดและดีแน่นอนครับ
หลังจากที่ผมแจ้งเจ้าหน้าที่ต้อนรับว่าชื่ออะไร พนักงานก็พาไปที่โต๊ะที่ได้สำรองไว้ครับ
*แนะนำนะครับว่าหากใครที่สนใจจะมาใช้บริการให้จองโต๊ะไว้ก่อนครับ เพราะผมเข็ดแล้ว ก่อนหน้านี้ผมเคยมาใช้บริการห้องอาหารเม็กซิกันของโรงแรมแห่งนี้แล้วไม่ได้โทรจองไว้ก่อน ปรากฏว่าวั้นนั้นมีกรุ๊ปจองเต็ม เกือบไม่ได้กิน ดีที่เค้าเปิดอีกโซนเพิ่มให้คนที่ walk in มา – -“ (ตอนที่ผมจองผมได้แจ้งเค้าไว้ด้วยครับว่า ขอเป็นโต๊ะติดกับหน้าต่าง หรือที่มีแสงเยอะๆ หน่อยครับ เนื่องจากผมจะได้ถ่ายรูปอาหารบนโต๊ะง่ายๆ ครับ)
หน้าตาของบนโต๊ะผมเป็นแบบนี้ครับ ดูจากแก้วแล้วก็ได้กลิ่นความเป็นอินเดียขึ้นมาเลย แถมยังมีป้ายเล็กๆ เขียนติดอีกว่าสามารถขอเพลงได้ด้วย แล้วผมจะขอเพลงอะไรล่ะครับ – -“
หลังจากที่ผมวางของที่โต๊ะเสร็จแล้ว ผมก็รีบไปที่ไลน์อาหารเพื่อสำรวจและถ่ายรูปเลยครับ เพราะตอนนี้คนยังมาน้อยมาก หรือจะเขียนให้ถูกจริงๆ คือ ยังไม่มีใครมานอกจากโต๊ะผมครับ
ไลน์อาหารของที่นี่หากจะแบ่งง่ายๆ ก็คือ เมื่อเราเดินผ่านจุดที่พนักงานต้อนรับยืนอยู่แล้ว จะมี 2 ไลน์คือด้านซ้ายและด้านขวามือของเราครับ
ด้านซ้ายมือจะมีหม้อทองๆ ปิดฝาเรียงยาวอยู่ประมาณ 10 หม้อ และปิดท้ายด้วยซุ้มเล็กๆ ที่มีปลาและเนื้อแกะครับ โดยอาหารในหม้อๆ นี้เราจะต้องตักเอง แต่ซุ้มตอนท้ายนั้นจะมีเจ้าหน้าที่ของโรงแรมบริการครับ
ส่วนด้านขวามือของเรานั้นจะถูกแบ่งออกเป็น 5 ไลน์ย่อยๆ ได้แก่ ไลน์อาหาร 3 ไลน์, ไลน์เครื่องดื่ม 1 ไลน์ และไลน์ของขนมหวาน+ผลไม้อีก 1 ไลน์ครับ โดยไลน์ของอาหารนั้นจะมีไลน์นึงที่มีพ่อครัวมาคอยทำเคบัฟ (kebab) แบบสดๆ ใหม่ๆ ให้เราทานด้วยครับ
หน้าตาคร่าวๆ จะประมาณนี้ครับ
ก่อนจะพาไปดูหน้าตาอาหารในแต่ละไลน์ ผมขอพาเดินทัวร์ส่วนอื่นๆ ก่อนนะครับ
ลักษณะของห้องอาหารที่นี่ค่อนข้างแปลกครับ ไม่ได้เป็นสี่เหลี่ยมตรงๆ แต่มีมุมและห้องซ่อนจากสายตาอยู่พอสมควร จากการประมาณด้วยสายตา มีโต๊ะบริการทั้งหมดน่าจะราวๆ 30 โต๊ะได้ครับ มีทั้งโต๊ะใหญ่ โต๊ะเล็ก และหน้าตาเฟอร์นิเจอร์จะแตกต่างกันไป บางโต๊ะก็อยู่ในโซนที่ค่อนข้างมืด เป็นส่วนตัวหน่อย บางโต๊ะก็จะอยู่ในส่วนที่สว่างหน่อยติดกับกระจกบานใหญ่ๆ รับแสงแบบเต็มที่ เหมือนกับโต๊ะผมครับ
ลองดูภาพประกอบดูครับ เรียกได้ว่าถ้ามา 2 คน 3 คน จนถึง 10 คน ทางห้องอาหารนี้ก็มีโต๊ะที่พอจะรับรองได้ทุกขนาดครับ
สำหรับภาพนี้จะเป็นโซนที่จะมีนักดนตรีบรรเลงเพลงให้ฟังสดๆ ครับ ซึ่งอยู่คนละโซนกับที่ผมนั่งเลย เนื่องจากโซนนี้ค่อนข้างมืด ไม่มีแสงธรรมชาติเท่าไหร่ครับ หากใครที่ชอบฟังเพลงอินเดีย หรืออยากลองฟัง ก็เลือกมานั่งโซนนี้นะครับ ส่วนผมขอไปโซนสว่างๆ ดีกว่าครับ ><
ภาพวงดนตรีของห้องอาหารครับ ดูเรียบร้อยและผิดกับที่ผมคิดไว้ในหัวเลย ตอนแรกคิดว่าเค้าจะยืนๆ ร้องๆ เต้นๆ เพลงเร็วๆ ผมคงเข้าใจอะไรผิดไปเยอะ- -“
อันนี้เป็นอีกโซนที่สว่าง แต่คนละโซนกับที่ผมนั่งครับ
หมายเหตุ : โต๊ะที่เห็นว่างๆ ทั้งหลายนี้ พอผ่านไปได้ซักครึ่งชั่วโมงก็มีคนมานั่งกันจนเกือบเต็มทุกโต๊ะเลยนะครับ และเท่าที่ผมเดินดูโต๊ะส่วนใหญ่ก็มีป้าย reserve วางไว้เป็นส่วนใหญ่เลยครับ
สำหรับห้องอาหารนี้มีห้องน้ำในตัวด้วยนะครับ แต่ค่อนข้างหายาก และอยู่ในซอกพอควร แต่สามารถสอบถามพนักงานได้ครับ
เอาล่ะครับ หลังจากเล่าภาพรวมของห้องอาหารหมดแล้วทีนี้ได้เวลามาเจาะดูในแต่ละไลน์อาหารแล้วครับ
มาเริ่มจากไลน์อาหารฝั่งซ้ายมือนะครับ จะเป็นหม้อสีทองๆ อาหารในหม้อนี้จะมีหลายประเภทมาก ทั้งแกง ขนมปังทอด (Poori) แล้วก็ข้าวครับ โดยข้าวจะมีทั้งข้าวหมกแพะแล้วก็ข้าวสวยครับ ส่วนแกงก็มีเนื้อหลายแบบทั้งกุ้ง ไก่ และก็แพะครับ
การตักอาหารของหม้อนี้ง่ายกว่าที่คิดนะครับ เพราะว่าทางโรงแรมออกแบบให้มีที่ห้อยฝาหม้อไว้ด้านบนของทุกอันครับ
ในแต่ละหม้อจะมีชื่อกำกับบอกไว้ข้างๆ ครับว่า ชื่ออาหารนั้นชื่ออะไร มีส่วนประกอบที่สำคัญคืออะไรครับ อย่างในภาพนี้ก็เป็นแกงที่ชื่อ “Murgh Makhan Wala” เป็นแกงไก่ที่ใส่เครื่องเทศต่างๆ และก็มีมะเขือเทศกับหัวหอมครับ
หน้าตาก็ตามรูปด้านล่างเลยครับ
เดี๋ยวในหม้อพวกนี้ผมจะให้ดูภาพรวมๆ ของอาหารเลยนะครับ สำหรับข้าวสวยผมไม่ได้ถ่ายมานะครับ แต่ว่ามีอยู่ในหม้อสุดท้ายครับ ใครที่คิดว่ากินไม่ได้ ไม่ชอบข้าวหมกแพะ ก็สามารถกินข้าวสวยแทนได้ครับ
สำหรับเมนูที่ผมชอบและประทับใจสุดในไลน์นี้ก็คือ “Mutton Vindaloo” ครับ หรือแกงเนื้อแพะนั่นเอง (Mutton แปลว่าเนื้อแพะครับ) เนื้อแพะของที่นี่ในหลายๆ เมนู ต้องบอกว่ารสขาติดี ไม่เหม็นสาบ ถ้าไม่บอกผมก็ไม่รู้ว่าเป็นเนื้อแพะครับ
สุดทางของบรรดาหม้อที่ยาวเหยียด จะเป็นซุ้มเล็กๆ ที่พนักงานคอยบริการอยู่ 2 เมนู คือ ขาแกะย่าง กับปลาอะไรซักอย่าง ซึ่งผมเดาว่าเป็นปลาอบสมุนไพรครับ ทั้งสองเมนูนี้รสชาติดีครับ โดยเฉพาะปลาต้องบอกว่าอร่อยมากครับ
ข้างๆ ซุ้มนี้ จะมีแป้งอยู่ในหีบสมบัติเล็กๆ ครับ มันคือ POPPADUMS จะเป็นแผ่นแป้งบาง ๆ กรอบ ๆ คล้ายข้าวเกรียบ วางอยู่คู่กับน้ำจิ้มอีก 3 อย่าง ลองชิมกันดูครับว่าชอบน้ำจิ้มแบบไหนครับ สำหรับตัวแป้งถ้าไม่จิ้มอะไรกินเปล่าๆ จะได้รสชาติของเครื่องเทศมีรสซ่าและเผ็ดที่ปลายลิ้นเล็กๆ ครับ
จบจากไลน์ด้านซ้ายมือ ก็ได้เวลามาดูไลน์ด้านขวามือครับ อย่างที่บอกไว้ว่าผมจะแบ่งออกเป็น 5 ไลน์ย่อยๆ ครับ
เริ่มจากไลน์แรกที่ใกล้มือสุด มีทั้งของทานเล่น และก็แกงครับ ไลน์นี้ผมไม่ได้ประทับใจอะไรในรสชาติเป็นพิเศษครับ
ถัดมาไลน์ที่สอง ไลน์นี้อาหารค่อนข้างเยอะกว่าไลน์แรก หน้าตาก็ดูเก๋และแปลกดีครับ เป็นพวกสลัดแล้วก็ของทานเล่นครับ เดี๋ยวผมให้ดูภาพรวมๆ ก่อนนะครับ
ทีนี้มาเจาะดูเป็นอันๆ ครับ
รายการที่ผมประทับใจสุดน่าจะเป็น Kele Ki Tikki ครับ เป็นของทอดที่ข้างในเป็นกล้วยครับ จริงๆ นอกจากกล้วยเหมือนจะมีรสอื่นด้วยนะครับ โดยอยู่ในชั้นเดียวกันแต่คนละรูปร่างครับ
รายการอื่นๆ ครับ หน้าตาดูแปลกดีครับ
.
มาต่อกันที่ไลน์ที่ 3 ครับ ไลน์นี้ค่อนข้างจะแตกต่างกับไลน์อื่นๆ คือ ก่อนหน้านี้จะเน้นที่แป้งเป็นหลัก แต่ไลน์นี้จะเน้นที่เนื้อครับ เพราะมันคือไลน์ของ Tikka และ Kebab นั่นเอง โดย Tikka จะทำการผัดไว้แล้วบนกะทะขนาดใหญ่ตกแต่งอย่างสวยงามครับ มีทั้งเนื้อไก่และเนื้อปลาครับ โดยรวมๆ ผมชอบอาหารในไลน์นี้ที่สุดเพราะมันเป็นเนื้อเน้นๆ ฮา
สำหรับ Kebab จะเป็นการทำแบบสดๆ ใหม่ๆ ด้วยครับ โดยเชฟจะมี 2 กะทะ กะทะแรกเอาไว้ทำแป้งสำหรับห่อ อีกกะทะจะเอาไว้ปรุงเนื้อและเครื่องข้างใน โดยเนื้อมีให้เลือกหลายอย่างทั้งกุ้ง ปลา ไก่ แพะ ครับ ใครอยากผสมยังไงก็สั่งได้ครับ
ผมสั่งมา 2 ชิ้นครับ เพราะอยากมีเวลาถ่ายรูปตอนเชฟทำนานๆ ครับ
ปล. เชฟเค้าพูดไทยไม่ได้นะครับ ต้องสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษครับ
หน้าตาตอนที่ทำเสร็จแล้วเป็นแบบนี้ครับ ดูน่ากินทีเดียวครับ เรื่องรสชาติที่ได้ถือว่าอร่อยทั้ง 2 ชิ้น 2 ไส้เลยครับ
มาต่อกันที่ไลน์ที่ 4 ของฝั่งขวามือครับ ไลน์นี้จะเป็นเครื่องดื่มครับ มีทั้งเครื่องดื่มน้ำผลไม้ธรรมดา และก็เครื่องดื่มที่พิเศษเป็นเครื่องดื่มเฉพาะของอินเดียครับ
น้ำผลไม้จะอยู่ในเหยือกปกติครับ มีทั้งน้ำส้ม สับปะรด แล้วก็แตงโมครับ
รสชาติของน้ำผลไม้ทั้ง 3 โดยเฉพาะน้ำแตงโมอร่อยและดีเลยครับ เรียกได้ว่าเป็นน้ำผลไม้จริงๆ ครับ
ส่วนเครื่องดื่มของอินเดียจะมี 3 ชนิดครับ อยู่ในไห หรือ หม้อดินเผาครับ
2 อันแรก ชื่อ Sweet Lassi กับ Salt Lassi ลักษณะจะเป็นโยเกิร์ตแต่จะเหลวๆ กว่าสามารถดื่มเป็นน้ำได้เลย รสชาติผมว่าแปลกแต่ก็อร่อยดีครับ โดยส่วนตัวผมชอบ Sweet Lassi มากกว่าครับ
ถัดมาเป็นเครื่องดื่มที่ชื่อ Jal Jeera ครับ เป็นเครื่องดื่มน้ำสีเขียวๆ ประกอบไปด้วย Cumin (ยี่หร่า), Lime (มะนาว) แล้วก็ Mint (สะระแหน่) ครับ
สำหรับเมนูนี้ รสชาติไม่ถูกปากผมเท่าไหร่ครับ อาจจะเป็นเพราะผมเป็นคนไม่ชอบส่วนประกอบของแต่ละอย่างที่ใส่ลงไปอยู่แล้วด้วยครับ แต่ถ้าใครชอบ หรืออยากลอง ลองตักมาจิบดูก่อนซักอึกสองอึกครับ เผื่อประทับใจก็กินยาวๆ ครับ
อ้อ ที่ห้องอาหารมีบริการน้ำเปล่าด้วยนะครับ พนักงานจะมาเทให้ในแก้วสีเงินๆ ที่อยู่บนโต๊ะเรานั่นแหละครับ
ผมลืมไป ในไลน์ที่ 4 นี้นอกจากจะมีเครื่องดื่มแล้ว ยังมีไอศรีมด้วยนะครับ วันที่ผมไปมี 2 รสคือ มะม่วง กับ วานิลลา แต่ผมอิ่มมากก็เลยไม่ได้ลองชิมครับ
ในที่สุดก็มาถึงไลน์ที่ 5 ครับ ไลน์นี้จะเป็นของหวานและผลไม้ครับ จริงๆ แล้วผลไม้จะถูกแยกเป็นโต๊ะกลมๆ อีกตัวอยู่ข้างๆ กันครับ แต่ผมเอามาเขียนรวมกันนะครับ
ดูภาพของผลไม้ก่อนนะครับ โต๊ะไม่ใหญ่มาก แต่มีหลายชนิดมากและก็ตกแต่งสวยงามดีครับ
ต่อไปก็โต๊ะของหวานครับ มีประมาณ 10 กว่าชนิดได้ครับ ผมว่าส่วนนี้เค้าตกแต่งสวยดีครับ ดูหน้าตาน่าทานดีครับ
โดยรวมๆ ของ Set นี้รสชาติผิดกับที่ผมคิดไว้เยอะพอควรครับ เพราะในแต่ละรายการจะมีเครื่องเทศผสมปนอยู่ระดับหนึ่งทำให้รสชาติจะไม่เหมือนกับ
ของหวานทั่วๆไปที่เราเคยกินครับ แล้วก็หลายๆ รายการรสชาติจะหวานหน่อยครับ
เมนูถัดมาเป็นมาการอง (Macaron) ครับ มีทั้งหมด 4 สี โดยมาการองที่เห็นทั้ง 4 สีนี่ ไม่ใช่มาการองธรรมดานะครับ แต่เป็นมาการองที่มีเครื่องเทศปนอยู่พอสมควร บางสีผมก็พอเดาส่วนประกอบได้ แต่บางสีก็เดาไม่ถูกครับ รสชาติโดยรวมผมว่ามันหวานไปครับ (จริงๆ มาการองของเจ้าอื่นก็หวานประมาณนี้แหละครับ ซึ่งผมคิดว่ามันหวานไปหน่อย – -“ ผมก็เลยไม่ค่อยชอบทานขนมประเภทนี้ซักเท่าไหร่)
ถัดมาก็มีถั่วแล้วก็ทอปปิ้งต่างๆ ครับ เช่น ลูกเกด, M&M
เค้ก
ส่วนนี้เป็น Opera Cake ขนมที่ไม่มีส่วนผสมจากไข่ครับ
แล้วก็เป็นของหวานที่น่าจะเป็นของประจำชาติอินเดีย รายการนี้ชื่อว่า “Moong Daal Halwa” รายการนี้ผมไม่ได้ชิมนะครับ แต่จากการอ่านคำอธิบาย ผมเดาว่าเป็นถั่วบดที่รสชาติหวานๆ นิดนึงครับ
ส่วนอันนี้ผมได้ลองครับ ชื่อว่า “Gulab Jamun” เป็นขนมลูกกลมๆ สีน้ำตาล ในน้ำเชื่อมครับ ข้างในเป็นครีมชีสครับ และก็มีส่วนผสมของ Cardamom (กระวาน) และ Saffron (หญ้าฝรั่น) ครับ
ผมค่อนข้างชอบรสชาตินะครับ แปลกและอร่อยดี แต่ใครที่ไม่ชอบหวานต้องระวังเนื่องจากมันค่อนข้างหวานครับ
ปิดท้ายด้วยรายการสุดท้ายของของหวานคือ Mango Foam และ Coconut Foam ครับ จะอยู่ในลูกมะพร้าว รสชาติแปลกดีครับ ไม่เคยกินมาก่อน เป็นความเหลวที่อยู่ระหว่างจะเป็นน้ำก็ไม่ใช่ เหมือนจะเป็นฟองซะมากกว่าครับ
ตอนนี้ผมก็พาตะลุยเก็บรายละเอียดทุกส่วนของไลน์อาหารครบแล้ว ทีนี้จะพามาดูอาหารที่ผมตักมาบนโต๊ะบ้างนะครับ
อ้อ สำหรับคนที่อยากกินนาน เราสามารถสั่งได้ต่างหากจากพนักงานนะครับ โดยมี 3 แบบครับ คือแบบธรรมดา กระเทียม แล้วก็ชีสครับ โดยผมได้สั่งมาลอง 2 แบบคือกระเทียม และ ชีส ครับ ส่วนตัวผมว่ารสชาติอร่อยทั้ง 2 แบบเลยครับ โดยแบบกระเทียมเหมาะกับการกินกับแกงต่างๆ ส่วนแบบชีสสามารถกินเปล่าๆ ทานเล่นๆ ได้เลยครับ
ปล. ผมโชคดีมากที่ได้ยินพนักงานมาถามโต๊ะข้างๆ ว่าจะรับนานมั้ยเลยรู้ว่ามันสามารถสั่งเพิ่มได้ ไม่งั้นก็อดไป
ภาพแรกนานกระเทียมครับ ลองเอาวางคู่กับแกงที่ตักมาดู
ถ้วยใส่แกงของที่นี่ค่อนข้างเล็กนะครับ ถือว่าดีอย่างเพราะประหยัดเนื้อที่บนโต๊ะและคิดว่าคนนึงคงไม่ได้ตักอะไรเยอะเท่าไหร่ หากชอบก็ค่อยไปตักเพิ่มทีหลังครับ
ภาพนี้นานแบบมีชีสครับ
มาดูภาพบรรยากาศบนโต๊ะอาหารต่อครับ ทีนี้เป็นของหวานนะครับ
มาถึงตอนนี้ผมก็อิ่มมากๆ แล้วครับ และก็ได้ให้พนักงานมาเช็คบิล โดยพนักงานได้ถามว่าจะรับชา หรือ กาแฟ มั้ย ผมเลยลองสั่งชามาครับ ซึ่งหลังจากที่ลองชิมดูพบว่ารสชาติค่อนข้างแปลก และมีกลิ่นที่หอมดีเลยถามพนักงานว่ามันคือชาอะไร พบว่ามันคือชานมที่ใส่ผงมาซาล่า (Masala) ด้วยความอยากรู้อยากเห็นผมก็เลยขอพนักงานดูและลองมาเหยาะเพิ่มในอีกแก้วครับ
เอาล่ะครับ ทีนี้ก็มาถึงบทสรุปของการรีวิวครั้งนี้แล้ว ไม่รู้จะมีใครอ่านมาถึงตรงนี้หรือเปล่าเพราะว่ายาวมากๆ โดยกว่าผมจะเขียนเนื้อหาจบก็ราวๆ 3 ชั่วโมงได้ครับ ผมขอสรุปแยกเป็นเรื่องๆ ตามนี้นะครับ
รสชาติอาหาร : อย่างที่บอกไว้ตอนต้นครับ ผมไม่เคยกินอาหารอินเดียมาก่อน ก็เลยไม่สามารถฟันธงเรื่องรสชาติได้ชัดเจนเท่าไหร่ แต่โดยรวมๆ ถือว่ากินง่ายกว่าที่คิดครับ ตอนแรกผมคิดว่าอาหารอินเดียจะกินยากกว่านี้ เพราะเท่าที่ลองหาข้อมูลก่อนมาลอง พบว่าแทบทุกเมนูจะมีการใส่เครื่องเทศผสมลงไปทั้งนั้น แต่พอได้มาลองกินเองวันนี้ก็พบว่าบางเมนูก็แทบจะไม่รู้สึกถึงเครื่องเทศเลย แต่บางเมนูก็รู้สึกมาก โดยเฉพาะของหวานที่ผมไม่เคยกินของหวานที่ผสมเครื่องเทศแบบนี้มาก่อนในชีวิต ในภาพรวมของรสชาติโดยส่วนตัวผมประทับใจแบบมากๆ อยู่ 5-6 เมนูครับ ได้แก่ปลา แกงเนื้อแพะ นานกระเทียม นานชีส เคบัฟ แล้วก็พวกเนื้อย่างครับ ส่วนเครื่องดื่มก็ชอบน้ำผลไม้ทั้ง 3 อัน และก็ Sweet Lassi ครับ
ความหลากหลายของเมนู : ถือว่ามีเมนูที่เยอะแยะมากครับ น่าจะเกิน 50 เมนูได้ครับ และมีรสชาติที่แตกต่างกันพอควร ทอปปิ้งและน้ำจิ้มก็มีหลายแบบ ดังนั้นเวลาที่มาเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ก็น่าจะทำให้แต่ละคนเจอเมนูหรือสูตรที่ลงตัวของตัวเองได้ครับ
ความสะอาด : เรื่องความสะอาดของสถานที่ไว้ใจและสบายใจได้ครับ เนื่องจากอยู่ในโรงแรมครับ
การบริการของพนักงาน : ถือว่าดีครับ หลายๆ อย่างที่ผมไม่แน่ใจในส่วนประกอบหรือรสชาติ ก็ใช้การสอบถามจากพนักงานเอาครับ ซึ่งก็ได้คำตอบที่ดีครับ
ความสะดวกของการเดินทาง : โรงแรมอยู่ในซอยสุขุมวิท 18 หากขับรถมาก็จะสะดวกในเรื่องที่มีที่จอดรถเยอะ แต่หากเดินทางด้วยรถไฟฟ้าก็น่าจะสามารถเดินมาจากสถานีอโศกได้ครับ ไม่ได้ไกลกันมากครับ
ความคุ้มค่า : ด้วยราคา 850 บาท++ หรือ 1,000.45 บาท/ท่าน ถือว่าเป็นการกินอาหาร 1 มื้อที่ราคาสูงพอสมควรครับ โดยเฉพาะหากคนไม่เคยกินอาหารอินเดียมาก่อนและไม่รู้ว่าจะชอบรสชาติมั้ย แต่หากคุณเป็นหนึ่งคนที่ชอบกินอาหารอินเดียเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็ถือว่าเป็นราคาที่ไม่สูงเกินไปจนถึงค่อนค้างคุ้มมากในบางคนครับ เพราะผมลองหาข้อมูลดูพบว่าอาหารพวกนี้แต่ละรายการที่ขายเป็นจานเดี่ยวๆ ก็ราคาสูงไม่ใช่เล่นครับ หรือหากคุณต้องการสถานที่ไว้รับรองแขกที่ต้องการทานอาหารอินเดีย ผมว่าที่นี่ก็เป็นตัวเลือกที่ดีครับ เพราะจากที่ผมสังเกตคนที่มาใช้บริการวันเดียวกับผมก็พบว่าคนส่วนใหญ่ที่มาใช้บริการจะเป็นแขกที่มีเชื้อชาติอินเดียหรือประมาณนี้เป็นส่วนใหญ่ โดยมาตั้งแต่กลุ่มเล็ก 2-3 คน จนถึงกลุ่มใหญ่ๆ เป็นครอบครัว จำนวนเกิน 10 คนอีก แสดงว่ารสชาติน่าจะใกล้เคียงกับอาหารต้นตำรับจากประเทศเค้าครับ
ก็จบลงไปแล้วครับ กับการรีวิวในครั้งนี้ ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบนะครับ และขออภัยเป็นอย่างสูงถ้าผมเขียนหรือทำอะไรขาดตกบกพร่องไปครับ
ปล. ผมขอทิ้งภาพสุดท้ายเป็นภาพของเครื่องเทศที่เอาไว้ดับกลิ่นปากหลังจากการทานอาหารนะครับ จะวางอยู่บริเวณป้ายใบประกาศต่างๆ ตรงข้ามกับจุดที่พนักงานยืนต้อนรับครับ ตอนแรกผมก็ไม่รู้ครับว่ามี แต่ตอนที่เดินออกมาเห็นกลุ่มก่อนหน้ายืนมุงอยู่ เลยถามพนักงานดูว่ามันคืออะไร หลังจากผมลองหยิบเข้าปากดูก็พบว่ามันหอมใช้ได้เลยนะครับ (ผมลองแค่อันเดียวนะครับ คืออันที่เป็นเม็ดเขียวๆ เพราะพนักงานแนะนำอันนี้ครับ ฮา)
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้าครับ สำหรับผู้ที่ต้องการติดตามเรื่องราวการรีวิวต่างๆ ที่รวดเร็วทันใจ สามารถกดติดตามได้ที่เพจ ภรรยาหา สามีใช้ และสำหรับท่านที่อยากจะได้ข้อมูลของห้องอาหารแห่งนี้เพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูข้อมูลตามลิงก์ด้านล่างได้เลยครับ
Facebook : Rang Mahal
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไปครับ