สวัสดีครับ กลับมาพบกับผมนาย “ภรรยาหา สามีใช้” กันอีกแล้วนะครับ สำหรับร้านที่ผมจะพาทุกท่านไปวันนี้ เป็นอีกหนึ่งร้านอาหารที่มีชื่อเสียงค่อนข้างมากในช่วงปีที่ผ่านมาเลย ด้วยชื่อร้านและของตกแต่งที่ดูน่ารัก มุ้งมิ้งมากมาย อาหารที่ดูน่ากินสุดๆ และร้านที่ว่านั้นก็คือร้าน “Penguin eat shabu” นั่นเองครับ แต่ด้วยชื่อร้านที่ค่อนข้างยาวกับการพูดชื่อที่ค่อนข้างยากเล็กน้อย ทำให้หลายๆ คน รวมทั้งผมเองมักจะเรียกร้านนี้ว่า “ชาบูเพนกวิน” แทนครับ (ผมก็ต้องขออภัยทางร้านมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ T_T)
ก่อนที่จะเข้าสู่การรีวิวแบบจริงจัง ผมขอเกริ่นเกี่ยวกับร้านนี้เล็กน้อยก่อนนะครับ ร้านชาบูเพนกวินนี้แรกเริ่มเดิมทีเปิดสาขาแรกที่แถวๆ สะพานควาย ซึ่งจริงๆ แล้วอยู่ใกล้ที่ทำงานผมมากๆ และตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเห็นรีวิวของร้านนี้ผมก็อยากจะไปลองมากๆ แต่จนแล้วจนรอดเวลาผ่านไปเกือบ 1 ปี เพื่อนๆ น้องๆ รอบตัวผมหลายคนได้ไปทานกันหลายรอบแล้วผมก็ยังไม่มีโอกาสได้ไปลองกับเค้าซักที – -“
“เอาเถอะ ถ้าได้เป็นคู่กันแล้วก็คงจะไม่แคล้วได้ชิมกันซักวัน” ผมคิดแบบนี้อยู่ในใจ และในที่สุดก็เหมือนโอกาสได้มาถึงผม เพราะร้านชาบูเพนกวินนี้ได้เปิดสาขาใหม่ที่ราชพฤกษ์ ซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านผมมาก เมื่อทราบดังนี้แล้วผมก็ไม่รอช้า ใส่เกียร์สุนัข โทรจองโต๊ะและออกจากบ้านไปยังที่ร้านทันทีครับ ^^
“Penguin eat shabu” หรือชาบูเพนกวิน สาขาราชพฤกษ์นี้ ตั้งอยู่ใน J-Arena ครับ (เยื้องๆ กับ The Circle ราชพฤกษ์) โดยใน J-Arena นี้ก็มีร้านอาหารที่น่าสนใจอีกหลายร้านเลยนะครับ เช่น Narai Pizzeria Inter Buffet, Shin kai Sushi และก็ร้านเตี๋ยวเหอะ แต่วันนี้เมื่อเรามีเป้าหมายที่แน่นอนแล้วว่าจะกินอะไร ดังนั้นเราก็ต้องไม่วอกแวก เดินตรงดิ่งไปหาเป้าหมายและเปิดประตูร้านเข้าไปแบบแมนๆ เลย
Disclosure : บทความนี้เป็นบทความที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการใดๆ ทั้งสิ้น
สำหรับรายละเอียดของวันที่ผมไปทานมีดังนี้นะครับ
วันที่รับประทาน : วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2558
ช่วงเวลา : 15.03-16.29 น.
จำนวนคน : 2 คน
สภาพในร้านโดยทั่วๆ ไป ตอนที่ผมไปถึงนั้น เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่คงไม่ค่อยมีใครทานข้าวกัน ประกอบกับเป็นวันที่ฝนตกค่อนข้างหนัก ทำให้มีคนนั่งทานกันอยู่แค่ราวๆ 5-6 โต๊ะ จากจำนวนโต๊ะทั้งหมดประมาณ 20 โต๊ะครับ
ภาพนี้ให้ดูเพดานของร้านครับ ผมว่าแต่งร้านออกมาได้เก๋ดีนะ ใช้โทนสีเหลืองดูสดใส และนำกระถางต้นไม้มาแขวนห้อยหัวลงมาสลับกับหลอดไฟครับ
เอาล่ะครับ หลังจากที่ผมกับภรรยาได้โต๊ะที่นั่งเรียบร้อยแล้ว ก็มีพนักงานของทางร้านเข้ามาสอบถามว่าต้องการรับประทานแบบไหน โดยพนักงานที่เข้ามาสอบถามนั้นผมว่ามารยาทดี อัธยาศัยดีมากครับ เริ่มตั้งแต่สอบถามว่าเราทั้ง 2 คน เคยมาทานที่ร้านหรือเปล่า เมื่อผมตอบว่าไม่เคยทางพนักงานก็ขออนุญาตเล่ารายละเอียดของร้านให้ฟังก่อน ซึ่งใจความคร่าวๆ ก็คือ ทางร้านเป็นบุฟเฟต์ชาบู ทานได้ไม่อั้น ในเวลา 1.30 ชั่วโมง มีราคาให้เลือกหลายระดับ ตั้งแต่ 359 บาท/ท่าน, 459 บาท/ท่าน และ 659 บาท/ท่าน โดยราคาที่บอกนี้รวม Vat และ Service Charge เรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่รวมเครื่องดื่ม หากต้องการสั่งเครื่องดื่ม Refill ก็จะราคา 35 บาท/ท่านครับ
หลังจากที่พนักงานแนะนำเบื้องต้นเสร็จก็สอบถามว่าเราทั้งสองคนทานเนื้อหรือไม่ หากทานเนื้อทางร้านขอแนะนำเป็นแบบ 659 บาท/ท่าน เพราะจะมีเนื้อวากิว, เนื้อริบอาย รวมทั้งสามารถสั่งวากิวซูชิ, วากิวโรล รวมไปถึงเมนูแซลมอนอีก 9 อย่างที่ทางร้านกำลังจัดโปรโมชั่นพิเศษเทศกาลแซลมอนได้อีกด้วย และแน่นอนว่าสายเนื้ออย่างเราทั้งสองคนก็ได้คิดมาตั้งแต่สตาร์ทรถออกจากบ้านแล้วว่ามันต้องจัดเนื้อเท่านั้น!! เอา 659 บาทมาโลดดดดด อย่าให้เสียเวลาคร้าบบบบ
เอาล่ะครับ มาดูหน้าตาเมนูกันดีกว่าว่าแต่ละราคานั้นสามารถสั่งอะไรได้บ้างครับ
และแน่นอนด้วยเมนูที่ค่อนข้างเยอะ และกระเพาะของเราที่มันมีจำกัด ทำให้เราไม่สามารถสั่งเมนูละ 1 จานมาลองชิมได้หมด เราก็เลยจัดเฉพาะตัวท็อปๆ มาลองกันครับ ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิดเมนูที่สั่งไปมีตามนี้ครับ (บางรายการก็มีสั่งมากกว่า 1 จาน บางรายการก็สั่งแล้วสั่งอีกครับ ฮา)
-
เนื้อวากิว AUS
-
เนื้อริบอาย AUS
-
หมูคุโรบุตะสันคอ
-
เนื้อโคขุนพับใน
-
เนื้อโคขุนน่องลาย
-
เนื้อโคขุนสไลด์
-
กุ้งสด
-
วากิวซูขิ
-
วากิวโรล
-
ยำสาหร่ายญี่ปุ่น
-
หอยเชลล์
ระหว่างที่รอพนักงานนำเนื้อมาให้นั้นเราก็มาดูที่น้ำซุปกันดีกว่า หม้อของที่นี่จะแบ่งออกเป็น 2 ช่องนะครับ ใส่น้ำซุปมา 2 อย่างคือ ซุปใส และ ซุปดำ ซึ่งโดยส่วนตัวผมว่าสอบผ่านทั้ง 2 ซุป แต่ภรรยาผมชอบซุปดำมากกว่าครับ
อ้อ อย่างที่บอกว่าช่วงนี้ร้านมี Promotion จัดเทศกาล Salmon Sushi อยู่ มีทั้งหมด 9 รายการ โดยจริงๆ Promotion นี้จะหมดตั้งแต่สิ้นเดือน ก.ย. แล้ว แต่ทางร้านต่อเวลาออกไปอีกครับ
ไหนๆ ก็มีโอกาสดีๆ ทั้งทีแบบนี้แล้ว ผมก็เลยสั่งมาลอง 4-5 อย่างครับ (ไม่อยากสั่งเยอะเพราะมันมีข้าว เดี๋ยวจะอิ่มไป จนทานเนื้อได้น้อย ฮา)
เอาล่ะครับ ตอนนี้เนื้อก็ทยอยมาเสิร์ฟแล้ว ผมถ่ายภาพรวมๆ ให้ดูเลยแล้วกันนะครับ และภาพเหล่านี้ไม่ได้เรียงนะครับว่าภาพไหนคือเนื้ออะไรครับ เพราะบอกตามตรงว่าความทรงจำของผมนั้นก็มีหลงลืมไปบ้างตามช่วงอายุของผมที่เริ่มเพิ่มมากขึ้น T_T
สำหรับคุณภาพของเนื้อโดยรวมนั้น ถือว่าสอบผ่านแทบทุกจานเลยครับ และที่สร้างความประทับใจจนต้องสั่งแล้วสั่งอีกก็คือเนื้อวากิวและริบอาย ซึ่งเบ็ดเสร็จวันนั้นผมน่าจะสั่ง 2 เมนูนี้ รวมๆ กันไปซัก 10 จานได้ครับ
*เนื้อ 1 จาน จะมีประมาณ 6-7 ชิ้น ซึ่งถือว่าปริมาณกลางๆ ไม่ได้มากไปหรือน้อยไป ทำให้สามารถสั่งมาลองหลายเมนูได้ครับ
มาดูกันที่เมนูอื่นดีกว่า เริ่มจากกุ้งที่มาเสิร์ฟที่จำนวน 3 ชิ้น ขนาดกุ้งกลางๆ ไม่ใหญ่ ไม่เล็ก ความสดอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้
ต่อกันที่หอยเชลล์ มาเสิร์ฟที่จำนวน 4 ชิ้น ความสด ความอร่อยของจานนี้ก็เช่นกัน อยู่ในเกณฑ์กลางๆ ไม่ได้ดี ไม่ได้แย่ครับ
และตอนนี้เมนูซูชิแซลมอนที่สั่งไปก็มาเสิร์ฟเรียบร้อย โดยทางร้านยกมาเสิร์ฟในจานที่ใหญ่มากกกกก เล่นเอาซะตกใจ ที่สำคัญบนโต๊ะผมมีจานเนื้อวางอยู่เต็มโต๊ะจนไม่มีที่ว่างเหลืออยู่เลย ซึ่งทางร้านก็ได้แก้ปัญหาโดยมีโต๊ะเล็กไว้คอยบริการเพื่อเอาไว้วางอาหารข้างๆ โต๊ะเพิ่ม เรียกได้ว่าจุดนี้ทำให้ผมประทับใจมากครับ คาดว่าร้านคงจะเจอเหตุการณ์แบบนี้มาเยอะครับ ฮา
โดยรวมๆ รสชาติของจานนี้ ผมว่ามีทั้งอร่อยถูกปาก และไม่ถูกปากครับ ซึ่งเมนูเหล่านี้มันคงไม่ใช่จุดเด่นของร้านอยู่แล้ว เพียงแต่คงเป็นเทศกาลพิเศษเพื่อดึงคนเข้ามาที่ร้าน รวมทั้งถือว่าเป็นอาหารที่เอาไว้ทานแก้เลี่ยน เพิ่มความหลากหลายของอาหารมากกว่าการกินชาบูกันอย่างเดียว ดังนั้นเมนูเหล่านี้ผมเลยไม่ได้มีการสั่งเพิ่มนะครับ เก็บท้องไว้กินเมนูอื่นดีกว่าครับ
และในที่สุดเมนูที่ผมตั้งตารอคอย และตั้งความหวังไว้มากก็มาถึงครับ!! เป็นเมนูที่ผมเห็นในรีวิวแล้วตาค้างเบิกกว้าง พร้อมกับอุทานในใจดังๆ ว่า ชั้นต้องมากินให้ได้!! นั่นคือ “วากิวซูชิ” นั่นเองครับ โดยทางร้านแจ้งว่าปกติแล้ว เมนูนี้หากขายเป็น a la carte จะคำละประมาณ 200 บาทครับ รอบแรกผมสั่งมาทั้งหมด 4 คำ
ต้องบอกว่าขนาดของเนื้อนั้นชิ้นใหญ่มากครับ ผมลองเปรียบเทียบกับตะเกียบให้ดู ความยาวของเนื้อนี่ราวๆ 70-80% ของความยาวของตะเกียบได้เลยครับ
และที่ดีงามกว่านั้นคือ พอเมื่อเอาเนื้อยกขึ้นเพื่อดูปริมาณข้าว ผมก็พบว่าขนาดของข้าวมันน้อยมากครับ!! แจ่มเลย
หลังจากที่ผมสำรวจเบื้องต้นด้วยตาเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาที่จะสำรวจรสชาติด้วยลิ้นแล้วครับ แรกลิ้นสัมผัสต้องบอกว่าอร่อยและผมประทับใจมากกกกกกก และแน่นอนหลังจากที่ทานหมด 4 คำนี้ ผมกับภรรยาก็ตัดสินใจสั่งเพิ่มมาอีก 4 คำ รวมเป็นทั้งหมด 8 คำ พร้อมนึกในใจว่า วันนี้คุ้มแล้วครับ
จบจากเมนูสุดฟินไปแล้ว ก็มาต่อกันที่อีก 1 เมนูที่มาพร้อมๆ กัน นั่นคือ วากิวโรล เมนูนี้ผมค่อนข้างผิดหวังครับ ไม่ค่อยประทับใจในรสชาติซักเท่าไหร่ ยิ่งถ้าเทียบกับวากิวซูชิจานก่อนหน้านี้แล้ว ผมว่าความอร่อยแตกต่างกันมากเลย ดังนั้นจานนี้ก็เลยไม่มีการสั่งมาเพิ่มอีกครับ
อ้อ สำหรับคนที่ทานชาบูหรืออาหารที่ผ่านมาแล้วรู้สึกเลี่ยน ต้องการอะไรมาเปลี่ยนรสชาติ ทางร้านก็มีหลายเมนูให้เราเลือกทานแก้เลี่ยนนะครับ ไม่ว่าจะเป็นข้าว, ไก่คาราเกะ, เฟรนซ์ฟราย, เกี๊ยวซ่า, หมูพันเห็ดเข็มทอง และอีกหลายๆ เมนู แต่สำหรับผมเลือกทานเป็นยำสาหร่ายญี่ปุ่นกับแซลมอนยำตะไคร้ ซึ่งรสชาติโอเคเลย โดยแซลมอนยำตะไคร้นั้นมีรสเผ็ดใช้ได้เลยครับ
หลังจากที่เราทั้งสองเข้าสู่สมรภูมิรบกับเนื้อกันอย่างหนักหน่วง ตลอด 1 ชั่วโมง กับ 20 นาที มันก็ได้เวลาที่เราต้องออกจากสมรภูมิแห่งนี้แล้ว แต่ก่อนจากกันมันก็ต้องมีของตบท้ายซักเล็กน้อยครับ นั่นก็คือแตงโมนั่นเอง โดยรายการนี้รวมอยู่ในบุฟเฟต์แล้วนะครับ
และเท่าที่ผมได้อ่านรีวิวอื่นๆ ก่อนที่จะมาที่ร้านนี้ ก็พบว่าร้านชาบูเพนกวินทั้ง 2 สาขาระหว่างสะพานควาย และ ราชพฤกษ์นั้น มีความแตกต่างกันในเรื่องของการตกแต่งร้านพอควร โดยที่สะพานควายนั้น ร้านจะดูน่ารัก มีตุ๊กตาเพนกวินให้หยิบมาถ่ายรูปเยอะกว่า แต่ที่ราชพฤกษ์นั้นจะมีบริการปริ้นท์รูปให้ฟรี เพียงแค่อัพรูปของเราไปใน IG พร้อมกับ Hashtag ว่า #PenguinEatShabu
ดังนั้นระหว่างที่พนักงานกำลังเช็คบิลผมก็เลยสอบถามไปว่าเครื่องปริ้นท์ที่อยู่ข้างๆ ประตูทางเข้า ยังสามารถใช้ได้มั้ย ซึ่งพนักงานก็แจ้งกลับมาว่าสามารถใช้งานได้ครับ แต่ขอเวลา Set ซักครู่
สำหรับหน้าตาเครื่องปริ้นท์ก็ตามภาพด้านล่างเลยครับ โดยเมื่อเราเดินเข้าร้านมาเครื่องนี้จะตั้งอยู่ทางซ้ายมือของเราเลย
ทั้งนี้ทางร้านได้มีการเตรียมพร็อพไว้สำหรับถ่ายรูปให้ที่ข้างๆ เครื่องด้วยนะครับ ซึ่งก็ได้แก่ ผ้ากันเปื้อน และก็กระเป๋าเป้รูปเพนกวินครับ แต่หากยังไม่พอใจก็สามารถเดินไปหยิบตุ๊กตาที่วางอยู่บนชั้นมาถ่ายได้ด้วย
และเมื่อเลือกพร็อพได้แล้ว ผมก็เริ่มจัดแจงถ่ายรูป โดยตอนนั้นคนที่ร้านน้อยมาก ทำให้ผมสามารถถ่ายได้สบายๆ ไม่กดดันครับ และสุดท้ายก็อัพขึ้น IG ไป 2 รูปครับ
หลังจากอัพไปแป๊บเดียว ภาพก็มาอยู่บนหน้าจอคอมของทางร้านแล้วครับ
หลังจากที่พนักงานจัดการอะไรเล็กน้อย เราก็ได้ภาพสวยๆ ขนาดน่ารัก เป็นที่ระลึกติดไม้ติดมือกลับมาที่บ้าน ซึ่งผมว่ารูปแบบของกรอบที่ทางร้านออกแบบมา มันดูสวยดีนะครับ
เอาล่ะครับ หลังจากที่พนักงานได้นำใบเสร็จค่าเสียหายของมื้อนี้มาให้ มันก็มาถึงช่วงสุดท้ายของการรีวิวแล้ว โดยค่าใช้จ่ายทั้งหมดหลังจากรวมค่าเครื่องดื่มแล้วก็คือ 1,388 บาท หรือคิดเป็น 694 บาท/คนครับ ทีนี้เรามาดูแยกกันเป็นหัวข้อๆ กันดีกว่าว่าแต่ละหัวข้อนั้น ผมคิดเห็นอย่างไรบ้าง
รสชาติอาหาร : อร่อยมากครับ สำหรับเนื้อวากิว, เนื้อริบอาย และซูชิวากิว สำหรับใครที่ชอบทานเนื้อ ผมไม่อยากให้พลาดจริงๆ เมนูเนื้ออื่นๆ ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีและกลางๆ ส่วนเมนูที่ผมไม่ประทับใจก็มีบ้างครับ ได้แก่ ซูชิแซลมอนบางอันและวากิวโรลครับ
ความหลากหลายของอาหาร : ถือว่ามีความหลากหลายของอาหารมากเลยครับ โดยเฉพาะคนที่จัดแบบเต็มสูบ 659 บาท/ท่าน เพราะจะมีเนื้อให้เราเลือกหลากหลายประเภท หลากหลายส่วนมาก ทั้งเนื้อ, ไก่, หมู, ปลา, กุ้ง รวมไปจนถึงของทอดและยำต่างๆ โดยหากลองมองเมนูแยกเป็นแต่ละราคาไป ผมก็ยังมองว่าแต่ละราคาก็มีการจัดประเภทอาหารลงไปได้เหมาะสมดีครับ อย่างเช่นในราคาที่ต่ำสุด 359 บาท/ท่าน ก็มีประเภทอาหารให้เลือกค่อนข้างเยอะกว่าหลายร้านแล้ว
ความสะอาดของร้าน : สอบผ่านสบายๆ ครับ ไม่ติดปัญหาอะไรในข้อนี้เลย
การบริการของพนักงาน : ข้อนี้ผมประทับใจมากครับ โดยเฉพาะพนักงานผู้ชายคนนึงที่ดูแลเอาใจใส่ดีมากตั้งแต่ก่อนเดินเข้าร้าน ยันออกจากร้านเลยครับ
ความสะดวกของการเดินทาง : เป็นร้านที่เหมาะกับคนที่มีรถและอยู่แถวนี้เป็นหลักเลยครับ เพราะแถวๆ นี้ไม่มีรถสาธารณะผ่านเลย ส่วนในเรื่องที่จอดรถเท่าที่ผมมาที่ J-Arena หลายรอบก็ไม่เคยมีปัญหาในเรื่องที่จอดรถไม่พอเลยครับ เรียกว่าหาที่จอดได้สบายๆ เลย
ความคุ้มค่า : ผมขอเปรียบเทียบจากเมนู 659 บาท/ท่าน ที่ผมได้ลองนะครับ สำหรับผมถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะว่าเป็นคนที่ชอบทานเนื้ออยู่แล้ว โดยเนื้อริบอายและวากิวของทางร้านก็มีรสชาติที่ดีมากครับ นอกจากนี้ยังมีวากิวซูชิอีก ซึ่งโดยปกติราคาต่อคำก็ค่อนข้างสูงมาก อย่างวันนี้ผมกับภรรยาจัดไปทั้งหมด 8 คำ หากเป็นการไปทานตามร้านทั่วๆ ไป ผมว่ามีเกิน 1,000 บาทอย่างแน่นอน ดังนั้นสำหรับคนที่ชอบทานเนื้อผมว่าคุ้มแน่ๆ ครับ
สรุป : ร้านนี้เป็นอีก 1 ร้านชาบูที่ผมค่อนข้างประทับใจเลย ถึงราคาต่อหัวจะดูสูงไปหน่อยเมื่อเทียบกับหลายๆ ร้าน แต่เมื่อมองไปถึงรสชาติอาหาร, คุณภาพอาหาร, การแต่งร้าน, concept ร้าน, การบริการของพนักงาน และการที่เป็นราคา แลลnet แล้ว มันจึงเป็นราคาที่คนชอบทานเนื้ออย่างผมรับได้ครับ แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบทานเนื้อผมแนะนำให้ข้ามเมนูราคา 659 บาทนี้ไปเลย ให้ไปมองไปที่ราคา 359 หรือ 459 บาท/ท่าน จะดีกว่าครับ เพราะส่วนที่เพิ่มมานั้นไม่ค่อยคุ้มค่ากับคนที่ไม่ทานเนื้อเท่าไหร่ครับ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้าครับ สำหรับผู้ที่ต้องการติดตามเรื่องราวการรีวิวต่างๆ ที่รวดเร็วทันใจ สามารถกดติดตามได้ที่เพจ ภรรยาหา สามีใช้ และสำหรับท่านที่อยากจะได้ข้อมูลของร้านนี้เพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูข้อมูลตามลิงก์ด้านล่างได้เลยครับ
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไปครับ