ต้องบอกว่าในช่วงปีนี้กระแสคาเฟ่หมา คาเฟ่แมว ต่างก็มาแรงและได้รับความนิยมในวงกว้างมากขึ้นจริงๆ ครับ หลายๆ ร้านนี่ถึงกับต้องต่อคิวหรือจองรอบกันเลยทีเดียว และในวันนี้ผมก็จะพาทุกท่านไปพบกับการรีวิวคาเฟ่สัตว์นี่แหละครับ แต่ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงธรรมดาๆ อย่างหมา หรือ แมว นะครับ เพราะวันนี้ที่ๆ ผมจะพาทุกท่านไป คือคาเฟ่ของ Exotic Pet ครับ!!
ร้านนี้ชื่อว่า Little Zoo Café ครับ เอาล่ะครับเกริ่นมายาวแล้ว เดี๋ยวเริ่มเข้าสู่การรีวิวกันกันดีกว่าครับ
วันที่ : เสาร์ที่ 19 ก.ย. 58
เวลา : 12.00-14.00 น.
จำนวน : 2 คน
Disclosure : บทความนี้เป็นบทความที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการใดๆ ทั้งสิ้น
สำหรับพิกัด ตำแหน่งของร้านนี้จะอยู่ในเมืองทองธานี ในคอมมูนิตี้มอลล์ที่ชื่อ สุโขทัย 99 ครับ โดยจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชครับ ถ้าหาคอมมูนิตี้มอลล์นี้เจอก็จะหาร้านเจอง่ายๆ เลยครับ เพราะพื้นที่ของคอมมูนิตี้นี้ไม่ใหญ่ครับ
หน้าตาหน้าร้านเป็นแบบนี้ครับ สำหรับคนที่ขับรถมาหากประทับตราที่ร้านจะได้จอดฟรี 2 ชั่วโมงนะครับ และชั่วโมงต่อไป ชั่วโมงละ 20 บาท แต่หากไม่มีตราประทับจะเสียค่าจอดรถ 50 บาท/ชั่วโมงครับ


สำหรับเวลาเปิดปิดของร้านก็คือเวลา 12.00-21.00 น. ครับ
เมื่อไปถึงที่หน้าร้านจะพบว่าเป็นร้านที่มีประตูกระจก 2 ชั้นครับ โดยถ้าเปิดเข้าไปชั้นแรกจะเจอพื้นหญ้าเทียมและอ่างล้างมือ จำนวน 2 อ่างครับ และจะมีป้ายติดบอกว่าให้ยืนรอพนักงาน เพื่อให้พนักงานพาไปที่โต๊ะครับ
สำหรับบริเวณอ่างล้างมือนั้น จะมีสบู่และทิชชู่ไว้ให้เรียบร้อยแล้วครับ แนะนำว่าเพื่อสุขภาพอนามัยของสัตว์ภายในร้าน พวกเราทุกคนควรจะล้างมือให้สะอาดนะครับ และหลังจากที่พนักงานมาเรียกเราแล้ว ก็ให้ถอดรองเท้าของเราเพื่อเปลี่ยนเป็นสลิปเปอร์ของทางร้านด้วยครับ หรือหากใครไม่อยากใส่สลิปเปอร์ก็เท้าเปล่าได้เลยครับ

ภายในร้านจะแบ่งที่นั่งออกเป็น 3 โซน ครับ เริ่มจากโซนชั้น 1 จะเป็นโต๊ะและเก้าอี้แบบสูงครับ จะมีประมาณ 5 โต๊ะครับ ชั้นนี้จะมีห้องกระจกที่มี Fennec Fox (สุนัขจิ้งจอกทะเลทราย) กับ เมียร์แคทอยู่ครับ โดย Fennec Fox จะมี 5-6 ตัว และเมียร์แคทมีอยู่ 1 ตัวครับ
คนที่นั่งอยู่ในโซนนี้จะสามารถมองห้องกระจกนี้ได้ตลอดเวลาครับ และในชั้นนี้จะมีห้องน้ำและเคาน์เตอร์อาหารของทางร้านอยู่ด้วยครับ

อันนี้เป็นบริเวณเคาน์เตอร์อาหารของทางร้านครับ

สำหรับโซนถัดมาก็คือชั้นลอยครับ โดยคนที่จะขึ้นโซนนี้จะต้องเดินขึ้นบันไดสูงและชันนิดนึง ดังนั้นอาจจะไม่เหมาะกับคนที่ใส่กระโปรงครับ ตำแหน่งโซนนี้จะอยู่บนห้องกระจกของ Fennec Fox ครับ และโต๊ะจะเป็นแบบโต๊ะเตี้ย ไม่มีเก้าอี้ ต้องนั่งพื้นครับ โดยมีจำนวนโต๊ะประมาณ 5-6 โต๊ะครับ

จุดเด่นของโซนนี้คือ จะมีหมียักษ์ตัวใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มแบบนี้วางประดับอยู่ครับ

เมื่อมองมาจากโซนชั้นลอยก็จะเจอภาพแบบนี้ครับ ในภาพเจ้าของร้าน (ผู้หญิงเสื้อดำ) กำลังอธิบายข้อมูลที่น่าสนใจให้คนที่เข้ามาในร้านฟังอยู่ครับ

มาถึงโซนสุดท้าย โซนที่ 3 จะเป็นบริเวณชั้น 2 ของร้านครับ ลักษณะโต๊ะจะเป็นโต๊ะเตี้ยๆ แบบเดียวกับโซนชั้นลอยครับ มีโต๊ะอยู่ประมาณเกือบ 10 โต๊ะได้ครับ ที่ชั้นนี้จะมีห้องน้ำด้วย ทำให้ไม่ต้องเดินขึ้นลงบ่อยๆ และจุดเด่นของชั้นนี้คือมีห้องกระจกที่เลี้ยงเจ้าแรคคูนสุดน่ารักอยู่ครับ
ผมให้ดูหน้าตาและอิริยาบถของเจ้าแรคคูนตัวนี้คร่าวๆ ครับ รับรองว่าคุณจะรักมันอย่างแน่นอน เพราะมันอ้วน น่ารัก แถมตลกมากด้วยครับ




และแน่นอนว่าผมไปถึงตั้งแต่ที่ชั้นนี้ยังไม่มีคนซักเท่าไหร่ (แต่ชั้นล่างและชั้นลอยเต็มหมดแล้ว) ผมจึงจับจองโต๊ะที่ติดกับห้องกระจกของแรคคูนตัวนี้ เพื่อที่จะได้ดูอิริยาบถมันได้อย่างใกล้ชิดและตลอดเวลาครับ
หลังจากที่ผมได้โต๊ะแล้ว พนักงานก็จะนำเอาเมนูอาหารมาให้ครับ โดยเมนูมีอยู่ 1 แผ่น (2 หน้า) มีทั้งอาหารแบบแนวของหวาน เช่น เค้ก ไอศครีม แล้วก็เครื่องดื่มครับ สามารถดูรายละเอียดของเมนูได้ตามภาพเลยครับ


ผมกับภรรยาได้สั่งไปทั้งหมด 3 อย่างตามนี้ครับ
– Kiwi Smoothie
– Red Fox Latte
– Waffle with egg and bacon
หลังจากที่ผมสั่งเมนูเสร็จเรียบร้อยแล้ว พนักงานก็นำกระดาษที่มีหมายเลขมาให้ โดยผมได้หมายเลข 12 ซึ่งหมายเลขนี้ จะหมายถึงคิวที่จะได้เข้าไปใกล้ชิดกับ Fennec Fox กับเมียร์แคทที่ห้องกระจกที่ชั้น 1 ครับ โดยในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์แบบนี้ จะมีเวลาเข้าไปประมาณ 10-15 นาที และเข้าไปประมาณ 8-10 คนต่อกลุ่ม (ได้ยินพนักงานของทางร้านบอกว่าหากเป็นวันธรรมดาที่คนน้อย จำนวนคนต่อกลุ่มจะน้อยกว่านี้ อาจจะราวๆ 5 คนเท่านั้น และอาจจะมีเวลาอยู่ในห้องนานกว่านี้ครับ)
ทั้งนี้ตอนที่ผมได้บัตรคิวมานั้น คิวของห้อง Fennec Fox อยู่ที่ประมาณคิวที่ 5 ดังนั้นผมต้องนั่งรออย่างต่ำประมาณ 1 ชั่วโมงได้ครับ
แต่ไม่เป็นไร ผมมีน้องแรคคูนสุดน่ารักให้ดูใกล้ๆ แบบนี้ ทำให้ช่วงเวลาการรอนั้นไม่น่าเบื่อเลยครับ ลองมาชมภาพกันนะครับ





สำหรับคนที่เป็นห่วง หรือกังวลว่าสัตว์ในร้านจะดูอึดอัด หรือเครียด หรือไม่สบายนั้น จากเท่าที่ผมสังเกตเจ้าของร้าน Staff และห้องที่จัดไว้ให้ ผมคิดว่าทางร้านดูแลค่อนข้างดีมากนะครับ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเจ้าของร้านมีประสบการณ์ในการ Breed และเลี้ยงสัตว์ Exotic มานานหลายปีมากๆ ครับ
อย่างห้องของเจ้าแรคคูนนี้ ผมกะด้วยสายตาแล้วน่าจะมีขนาดห้องเกือบๆ 20 ตร.ม. เลยครับ และมีของเล่นให้มันหลากหลายมาก ทั้งสไลเดอร์ ที่ปีนป่าย โพรง ที่นอนสำหรับหลบแดดหลบคน รวมไปถึงอาหารครับ
มาดูภาพของเจ้าแรคคูนนี้อีกซัก Set แล้วกันครับ เป็นอะไรที่เสียดายมากๆ ที่ทางร้านไม่อนุญาตให้คนที่มาร้านได้มีโอกาสเข้าไปเล่นกับแรคคูนตัวนี้ได้ เพราะน้องเค้าเล่นค่อนข้างแรง และ alert มากอาจจะทำให้คนที่มาร้านอาจจะบาดเจ็บได้ครับ เพื่อความปลอดภัยของลูกค้า ทางร้านจึงจำเป็นต้องให้ดูอย่างเดียวครับ โดยจะมี Staff ของทางร้านเข้ามาเล่นกับเจ้าแรคคูนเป็นระยะๆ ครับ







เจ้าแรคคูนตัวนี้ Alert ถึงขนาดที่ Staff ของทางร้านบอกคนที่อยู่ใกล้ๆ ประตูว่าอย่าปลดกลอนที่ล็อคตรงประตูด้านนอกเด็ดขาด เพราะถ้าเปิดกลอนแล้วน้องจะสามารถเปิดประตูออกมาเองได้ และทีนี้ร้านจะวุ่นวายสุดๆ เพราะความป่วนของมันครับ





หลังจากดูเจ้าแรคคูนนี้ไปจนอิ่มแล้ว เรากลับมาดูพระเอกอีกตัวของร้านดีกว่าครับ นั่นก็คือเจ้าฮาชิ สุนัขจิ้งจอกแดง หรือ Red Fox นั่นเองครับ เจ้าตัวนี้จะไม่ได้อยู่ในกรงครับ แต่จะเดินเพ่นพ่านไปมาในร้านเลยครับ หางเป็นพวง ฟูสวยมากๆ ครับ

แต่เห็นเค้าเดินไปมาแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเค้าจะเชื่องและยอมให้เราจับตัวเค้าได้ง่ายๆ นะครับ เจ้าฮาชินี่ถึงจะเดินมาดมอะไรใกล้ๆ เรา แต่ถ้าเราเอื้อมมือจะไปจับตัวเค้าเมื่อไหร่ เค้าจะหนีทันทีเลยครับ คนที่จะจับตัวเค้าได้ก็มีแค่เจ้าของร้านกับตอนที่เจ้าของร้านกำลังป้อนอาหารเค้าเท่านั้นเองครับ คนนอกๆ อย่างเราถึงจะไปแอบเนียบจับตัว จับขนนุ่มๆ ของเค้าได้ครับ มาดูภาพตอนที่เค้าอยู่กับเจ้าของและยอมให้เราๆ จับตัวกันดูครับ ถึงขั้นมีนอนกลิ้งเลยทีเดียว (เจ้าของร้านคือผู้หญิงเสื้อดำนะครับ)




ตรงนี้ผมขอเตือนคนที่อยากจะมาที่ร้านนิดนึงนะครับว่า อย่าพยายามจับเจ้าฮาชิมากเกินไปนะครับ เพราะเค้าก็คือสัตว์ มีสัญชาตญาณในตัวค่อนข้างสูง ต้องมีการระแวงคนที่พึ่งเคยเจอกันเป็นเรื่องปกติครับ วันที่ผมไปผมเจอคนที่พยายามจะจับเจ้าฮาชิถึงขั้นเดินตามและวิ่งไล่น้องเลยทีเดียว แน่นอนว่าเจ้าฮาชิก็วิ่งหนีจ้าละหวั่นเลยละครับ – -“
เอาล่ะครับ มาดูอิริยาบถต่างๆ ของเจ้าฮาชิเพิ่มเติมกันดีกว่าครับ เริ่มจากปีนโต๊ะครับ

ส่องกระจกห้องแรคคูน สงสัยอยากจะเล่นด้วย มาเมียงๆ มองๆ หลายรอบมาก


ดมรองเท้า

ดมกระเป๋า ปีนป่ายกระเป๋า ตรงนี้ผมขอเตือนอีกนิดนึงนะครับว่า อย่าวางของอะไรชิ้นเล็กๆ ไว้โดยไม่ระวังนะครับ หรืออย่าปล่อยให้น้องเค้าไปดมของในกระเป๋าเราได้ เพราะ Staff ที่ร้านเตือนว่าอาจจะโดนน้องแง๊บได้ โดยเฉพาะพวกฝาเลนส์ครับ
ปล. ภาพนี้เจ้าฮาชิ กำลังปีนกระเป๋ากล้องผมครับ

และสุดท้าย เจ้าฮาชิ “อึ” ครับ สำหรับคนที่ไม่ชอบสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะประเภทสุนัขนี่ ผมไม่แนะนำให้มาเลยนะครับ เพราะเจ้าฮาชิอาจจะฉี่หรืออึใกล้ๆ บริเวณที่คุณนั่งได้เลยแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยนะครับ

เอาล่ะครับ หลังจากที่ดูเจ้าแรคคูนและเจ้า Red Fox ไปเยอะแล้ว ก่อนจะไปถึง Fennec Fox กับเมียร์แคทนั้น เรามาคั่นกันด้วยของกินกันดีกว่าครับ
เริ่มจากของภรรยาผมครับ น้ำ Kiwi Smoothie ครับ รสชาติกลางๆ ครับ

ต่อมา Red Fox Latte ของผมครับ จริงๆ ก็คือชาเย็นของไทยเรานี่แหละครับ แต่ตั้งชื่อเก๋ๆ เท่านั้นเองครับ แก้วนี้ผมว่าหวานไปนิดนึงครับ สำหรับเครื่องดื่มทั้ง 2 แก้วนี้ มาเสริ์ฟในแก้วพลาสติกพร้อมฝา ซึ่งตรงนี้ผมแอบผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่ได้มาเสิร์ฟในรูปแบบโถแก้ว เหยือกแก้ว แบบที่เคยเห็นในรีวิวก่อนหน้านี้ครับ

เมนูสุดท้ายก็คือวาฟเฟิลครับ จานนี้อร่อยมากครับ ขนาดถือว่าใหญ่ใช้ได้เลยครับ

มาเริ่มทานกันดีกว่าครับ อ้ามมมมมมมมมมมมมมมม

รสชาติโอเคเลยครับ จานนี้ประทับใจสุดเลยครับ

เอาล่ะครับ หลังจากที่ทานเสร็จแล้ว ก็ยังไม่ถึงคิว 12 ของผมซักที หลังจากลงไปสอบถาม Staff ก็พบว่าติดเวลาพักพอดี โดยทางร้านจะมีการกำหนดเวลาพักของน้องๆ สัตว์เป็นระยะๆ ครับ โดยจะพักประมาณ 30 นาที และจะมีป้ายเขียนบอกเวลาถัดไปไว้ที่หน้าห้องครับ
ระหว่างที่รอผมก็ถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยครับ เริ่มจากตุ๊กตาน่ารักๆ บริเวณเคาน์เตอร์อาหาร


ต่อด้วยถ่ายเจ้าเมียร์แคทผ่านกระจก เค้าเจอเจ้าของเขี่ยๆ แป๊บเดียวหลับปุ๋ยเลยครับ
ภาพล่างคือเค้าหลับนะครับ หลับท่านั้นเลย 55555


แล้วก็เจ้า Fennec Fox ตอนนอกพัก น่ารักมากครับ ^^


ถัดมาตรงบริเวณใต้บันไดขึ้นชั้นลอยนั้นมีเจ้าฮาชินอนหลับปุ๋ยอยู่เลยครับ เสร็จผมล่ะทีนี้ เพราะสามารถถ่ายรูปได้ง่ายๆ เลยครับ


เอาล่ะครับ หลังจากรอมานาน ทีนี้ก็ถึงคิวผมเข้าไปในห้อง Fennec Fox แล้วครับ ส่วนเจ้าเมียร์แคททางร้านขอนำกลับไปพักผ่อนที่นอกห้อง เพราะน้องกำลังหลับสบายไม่อยากปลุกครับ
ภายในห้องตอนที่ผมเข้าไปนั้น มี Fennec Fox มีทั้งหมด 5 ตัว นอนหลับไป 2 ตัว เหลือที่ตื่นอยู่ 3 ตัวครับ


เราสามารถจับน้องเค้าได้นะครับ แต่ทางร้านขอให้จับเฉพาะน้องที่ตื่นอยู่เท่านั้น ห้ามไปรบกวนหรือปลุกตัวที่หลับอยู่ครับ


Fennec Fox นี่มีฟันที่แหลมและเล็กมากครับ เมื่อเรายื่นมือเข้าไปใกล้ๆ เค้า สิ่งที่เค้าแสดงออกมาจะไม่เหมือนกับน้องหมาที่จะยื่นจมูกมาดมมือเรานะครับ แต่เค้าจะงับมือเราเลย ซึ่งความรุนแรงไม่ได้เยอะ ไม่ถึงกับเจ็บ เลือดออก หรือเป็นรอย แค่รู้สึกนิดๆ เท่านั้นๆ ครับ แต่สำหรับคนที่ขี้ตกใจ หากไม่ได้เตรียมใจ ระมัดระวังตัวไว้ อาจจะเผลออุทานออกมาดังๆ ได้ครับ

มาดูภาพฟันของน้อง ตอนที่น้องหาวกันดูครับ

สิ่งที่ Staff แจ้งอีกอย่างคือ ห้ามให้เราไปอุ้มน้องๆ ด้วยตัวเองนะครับ แต่สามารถจับหรือสัมผัสขนเค้าได้ครับ
หลังจากผ่านไปซัก 5 นาที เจ้า Fennec Fox ของเราก็เริ่มเพลียไปอีก 2 ตัว และก็หาที่งีบ จังหวะที่เจ้าตัวนี้ไปเบียดเจ้าตัวที่หลับอยู่ก่อนแล้ว เป็นอะไรที่น่ารักมาก ทะเลาะกันเล็กๆ และส่งเสียงกันออกมาฟังแล้วน่ารักดีครับ
หลับพริ้มเลย

อีกมุมหนึ่ง

ดูกันอีกซัก 2-3 ภาพนะครับ


เมื่อครบ 15 นาที ทาง Staff ก็แจ้งว่าหมดเวลา และขอให้กลุ่มใหม่ได้เข้ามาในห้องแทนครับ และหลังจากที่ผมก้มดูนาฬิกาแล้วก็คิดว่าน่าจะถึงเวลาที่ผมต้องออกเดินทางไปทำธุระต่อแล้วครับ จึงได้ทำการเช็คบิล โดยมีค่าเสียหายทั้งหมด 495 บาทครับ แบ่งเป็นค่าอาหาร 450 บาท และ Service Charge อีก 45 บาทครับ

เอาล่ะครับ ในที่สุดก็มาถึงช่วงสุดท้ายของการรีวิวแล้วครับ มาดูแยกกันเป็นหัวข้อๆ กันเลยดีกว่าครับ
รสชาติ : อร่อยสำหรับวาฟเฟิลครับ ถือว่าประทับใจเลย ส่วนเครื่องดื่มทั้ง 2 แก้ว อยู่ในเกณฑ์กลางๆ ครับ
ความหลากหลายของอาหาร : ถือว่ามีความหลากหลายของอาหารพอสมควร สำหรับคาเฟ่แบบนี้ครับ แต่จะไม่มีอาหารคาวแบบหนักๆ นะครับ จะเป็นพวกเค้กและขนมมากกว่าครับ
ความสะอาดของร้าน : ถึงจะเป็นร้านที่มีสัตว์เยอะแยะมากมาย แต่ก็ดูสะอาดตาดีครับ ไม่เจออะไรที่ทำให้รู้สึกไม่ดีครับ
การบริการของพนักงาน : อัธยาศรัยดีทุกคน แต่การบริการอาจจะช้าไปบ้าง เพราะลูกค้าเยอะมาก ถึงอย่างไรพนักงานทุกคนที่ผมเจอก็พูดจาดี ยิ้มแย้ม กันทุกคน ดังนั้นในข้อนี้ผมให้สอบผ่านครับ
ความสะดวกของการเดินทาง : เหมาะสำหรับคนที่มีรถและคนที่อยู่ในเมืองทองเป็นพิเศษครับ โดยสามารถจอดรถในสุโขทัย 99 ได้เลย (ประทับตราร้านจะจอดฟรี 2 ชั่วโมง และหากเกินก็เสียแค่ชั่วโมงละ 20 บาทครับ)
ความคุ้มค่า : หากเทียบราคากับอาหารที่ได้รับอย่างเดียวแล้ว ต้องยอมรับตรงๆ ว่าราคาแอบสูงไปหน่อยครับ แต่ถ้ามองว่าหากต้องเสียค่าเข้าร้านเพื่อไปชมสัตว์แบบนี้ สมมุติว่าคนละ 100 บาท แลกกับการได้นั่งเย็นๆ ดูสัตว์แปลกๆ ที่ไม่สามารถเห็นได้ทั่วไปแบบนี้อย่างใกล้ชิดแบบนี้ ถือว่าคุ้มค่ามากๆ ครับ เพราะในสวนสัตว์คุณก็ไม่มีทางจะได้เห็นหรือได้มองแบบนี้แน่ๆ ครับ อย่างกรณีผมไปกัน 2 คน หากคิดว่าเสียค่าเข้าชมไปคนละ 100 บาท ก็เหลือค่าอาหารไม่ถึง 300 บาทเท่านั้น ซึ่งถือว่ารับได้ครับ
สรุป : ร้านนี้เป็นร้านที่เหมาะกับคนรักสัตว์ โดยเฉพาะ Exotic Pet ครับ เพราะต้องยอมรับว่า สัตว์ในกลุ่มนี้มีราคาสูงมากกก และต้องใช้เวลา ใช้เงิน ใช้ความเข้าใจสูงมากในการที่จะเลี้ยงเอง ดังนั้นการมี Café แบบนี้ เป็นอะไรที่ตอบโจทย์ และทำให้คนรัก Exotic Pet แต่ติดปัญหาไม่สามารถเลี้ยงเองแบบผมได้นี่ประทับใจแบบสุดๆ ไปเลยครับ สำหรับความเห็นของใครที่มองว่าเป็นการทรมาณสัตว์ หรือเป็นอะไรที่ไม่สมควร ก็เป็นการมองในคนละมุมกันครับ เท่าที่ผมได้คุย ได้สังเกต ผมว่าทางเจ้าของร้านมีความรู้ ความเข้าใจเป็นอย่างดีในหลายๆ เรื่อง และเป็นห่วงเป็นใยสุขภาพของน้องๆ มากๆ ครับ ที่สำคัญก่อนจะเปิดร้านแบบนี้ได้ ทางร้านน่าจะมีการเตรียมการไว้เป็นอย่างดีในหลายๆ เรื่องแล้วครับ และทางเจ้าของร้านได้บอกว่าช่วงนี้คนมาที่ร้านเยอะจริงๆ แต่ก็พยายามจะทำออกมาให้ดีที่สุดและไม่ทำให้น้องๆ เหนื่อยหรือเครียด อย่างเช่น Fennec Fox จริงๆ แล้วทางร้านมีจำนวนกว่า 10 ตัวได้ และจะมีการผลัดชุดมาประจำที่ร้าน เพื่อลดความเครียด ความเหนื่อยล้าของน้องๆ ครับ ที่สำคัญทางร้านแจ้งว่าต่อไปอาจจะมีสัตว์ Exotic อื่นๆ มาเพิ่มมากกว่านี้อีกครับ แต่ไม่ใช่กลุ่มสัตว์เลื้อยคลานอย่างงู หรือ กิ้งก่านะครับ ^^
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้าครับ สำหรับผู้ที่ต้องการติดตามเรื่องราวการรีวิวต่างๆ ที่รวดเร็วทันใจ สามารถกดติดตามได้ที่เพจ ภรรยาหา สามีใช้ และหากใครต้องการข้อมูลของร้านเพิ่มเติมก็สามารถตามไปที่ลิงก์ด้านล่างได้เลยครับ สวัสดีครับ

หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไปครับ